นวัตกรรมถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนขับเคลื่อนอย่างมีนัยสำคัญกับเศรษฐกิจทั่วโลก ในวันนี้เราจะมีดูบริษัทในกลุ่มเคมีภัณฑ์ของสหราชอาณาจักรที่พึ่งพาเทคโนโลยีเป็นอย่างมากในขั้นตอนกระบวนการผลิต ความสำเร็จและการเติบโตมาจนถึงปัจจุบันเป็นสิ่งยืนยันอยู่แล้วว่าหุ้นของบริษัทเหล่านี้สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ สองหุ้นที่เราจะแนะนำในวันนี้สังกัดอยู่บนดัชนีที่วัดผลการดำเนินงานของ 102 หลักทรัพย์ของบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน FTSE 100 มีชื่อว่า Croda International (LON:CRDA) (OTC:COIHY) และ Johnson Matthey (LON:JMAT) (OTC:JMPLY)
1. Croda International
บริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีชีวภาพและเภสัชกรรมมาตั้งแต่ปี 1925 ให้กับลูกค้าในวงกว้างอย่างเช่นกลุ่มผู้ผลิตสารเคมีทางการเกษตร พลังงานทางเลือก ยานยนต์ ความสวยความงาม ก่อสร้าง ไฟฟ้า ทำบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ พึ่งตกลงที่จะเข้าซื้อบริษัทผู้ผลิตน้ำหอมจากสเปนนาม “Iberchem” เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ในปี 2020 หุ้นของบริษัท Croda สามารถให้ผลตอบแทนกลับคืนมามากถึง 30% มีราคาปิดล่าสุดในวันที่ 7 มกราคมอยู่ที่ $45.5 มีอัตราการปันผลอยู่ที่ประมาณ 1.5%
อ้างอิงจากข้อมูลผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 พบว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้ $1,231 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวลดลง 6% แบบปีต่อปี มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (PBT) อยู่ที่ $205 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดอยู่ที่ $108.3 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งถือว่าลดลง 15% แบบปีต่อปี
นายสตีฟ ฟุตต์ CEO ของบริษัทกล่าวว่า
“บริษัทยังสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ตามปกติเพราะเรายังมีบัญชีงบดุลที่ดีและมีสภาพคล่องสูง บริษัทยังมีเงินมากพอที่จะนำไปลงทุนกับเทคโนโลยีออร์แกนิกในอนาคตรวมถึงการลงทุนกับเทคโนโลยีมูลค่าสูงเพื่อเพิ่มความสามารถในการเติบโตให้กับบริษัทได้ ถึงสถานการณ์โลกในตอนนี้จะผันผวน แต่เราก็ยังเชื่อมั่นในกลยุทธ์และยังคงมุ่งเน้นไปที่อนาคต เราเชื่อว่าบริษัทจะสามารถเติบโตไปพร้อมๆ กับการสร้างกำไรได้ทั้งในตอนนี้และอนาคตภายหน้า”
หุ้นของ Croda ถูกประเมินอัตราส่วนทางการเงินที่เทียบกันระหว่างราคาหารด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนราคาต่อยอดขาย (P/S) อยู่ที่ 32.36 และ 6.43 ตามลำดับ แม้ว่าส่วนตัวแล้วเราจะชอบบริษัทนี้ แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เราจึงอยากจะรอให้ราคาดีกลับขึ้นประมาณ 5%-7% จากราคา ณ ปัจจุบันก่อน ที่สำคัญนักลงทุนควรจะรอดูการรายงานตัวเลขบัญชีการค้าภายในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ก่อนด้วย
2. Johnson Matthey
หากต้องเลือกรถยนต์สักคันในยุคนี้ คุณจะพิจารณาปัจจัยอะไรบ้าง? เชื่อว่าส่วนใหญ่จะต้องเริ่มพิจารณาโดยมีเรื่องของความสามารถในการควบคุมมลพิษเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คุณผู้อ่านอาจจะอยากรู้ว่าทุกวันนี้หนึ่งในสามของรถยนต์ยุคใหม่จะมีความสามารถในการควบคุมมลพิษได้ดีแค่ไหน หากพูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องนึกถึงบริษัทที่เริ่มต้นลงทุนเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ที่สามารถควบคุมมลพิษได้มาตั้งแต่ปี 1974 นั่นก็คือ Johnson Matthey ในตอนนี้พวกเขากำลังลงทุนกับเทคโนโลยีเพื่อผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง
อ้างอิงจากข้อมูลผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งปีที่นับมาจนถึงวันที่ 30 กันยายนปี 2020 พบว่าบริษัทจอห์นสันสามารถทำกำไรได้ $9,421 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับขึ้นแบบปีต่อปี 2% อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (PBT) พบว่ามีตัวเลขอยู่ที่ $35.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 88% แบบปีต่อปี สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตโรคระบาดส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ
นายโรเบิร์ต แมคลีออด CEO ของบริษัทกล่าวว่า
“นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กิจกรรมในภาคการผลิตรถยนต์โดยเฉพาะรถยนต์พลังงานทางเลือกก็เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เราเชื่อว่าการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกอย่างมีนัยสำคัญ แต่เพราะการฟื้นตัวในตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก เราจึงไม่อาจให้ข้อมูลการเติบโตที่แน่นอนได้จนกว่าจะถึงวันสิ้นสุดครึ่งปีหลังของบริษัทในวันที่ 31 มีนาคม 2021”
หุ้นของจอห์นสันถูกประเมินอัตราส่วนทางการเงินที่เทียบกันระหว่างราคาหารด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนราคาต่อยอดขาย (P/S) อยู่ที่ 11.44 และ 0.33 ตามลำดับ ในระยะยาวหุ้นของบริษัทนี้ยังถือว่าน่าลงทุน เมื่อใดก็ตามที่เห็นราคาหุ้นย่อลงมาก็อย่าลืมซื้อหุ้นของจอห์นสันติดพอร์ตเอาไว้ด้วย