หลังจากบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) เปิดตัว iPhone 12 ไปแล้วในเดือนตุลาคม นี่น่าจะนับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ราคาหุ้นแอปเปิลไม่ได้ปรับตัวขึ้นหลังเปิดตัวไอโฟน กลับกลายเป็นว่าหุ้นแอปเปิลมีโอกาสปรับตัวลดลงด้วยซ้ำ ล่าสุดหุ้นแอปเปิลมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $110.40 มีจุดสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ $134.80 ทำผลงานได้ไม่เป็นที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับเพื่อนในกลุ่ม FAANG
ไม่รู้ว่านี่คือคำสาปของบริษัทที่ได้ชื่อว่าเป็น “บริษัทแรกที่มีมูลค่าตลาดเกิน $2,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐ” ของสหรัฐอเมริกาหรือไม่ เพราะหลังจากได้รับตำแหน่งมา มูลค่าของหุ้นแอปเปิลก็หายไปมากถึง $450,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันมูลค่าตลาดของบริษัทแอปเปิลมีมูลค่าอยู่ที่ $1,850,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นบริษัทถูกเทขายทั้งๆ ที่พึ่งเปิดตัวโทรศัพท์ที่มียอดผู้ใช้งานเยอะที่สุดในโลก
นอกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นของแอปเปิล นักลงทุนยังเป็นกังวลอีกว่าหุ้นแอปเปิลจะสามารถขึ้นต่อไปได้อีกหรือไม่หลังจากที่วิ่งขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเดือนมีนาคมอย่างไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เมื่อวันศุกร์ที่แล้วหุ้นแอปเปิลร่วงลงมามากถึง 6.4% ปิดสัปดาห์ด้วยขาลงมากกว่า 5.6% นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากตลาดทราบผลประกอบการของบริษัทที่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน
คำถามที่เกิดขึ้นทันทีเมื่อเห็นหุ้นแอปเปิลปรับตัวลดลงคือ “นี่คือการย่อลงมาเพื่อเปิดโอกาสให้มีการซื้อหุ้นเพิ่มใช่หรือไม่” เราเข้าใจดีว่าขาลงของแอปเปิลตอนนี้เป็นอะไรที่หอมหวานสำหรับนักลงทุนมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่หุ้นแอปเปิลให้กลับมามากกว่า 260% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา แต่ในมุมมองของเรายังมีจุดอ่อนอีกบางอย่างที่แอปเปิลต้องถูกโจมตีก่อนที่ราคาจะดีดตัวกลับขึ้นไป
แอปเปิลกับยอดขาย iPhone ที่ตกลง
รายงานผลประกอบการของบริษัทแอปเปิลล่าสุดชี้ให้เห็นว่ายอดขายไอโฟนในตอนนี้ยากเหลือเกินที่จะทำให้ชนะตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ได้ตลอด ล่าสุดแอปเปิลคาดว่ายอดขายโทรศัพท์มือถือไอโฟนจะลดลง 21% ในไตรมาสที่สี่เพราะผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทำให้การผลิตไอโฟนต้องสะดุดและเป็นสาเหตุให้แอปเปิลไม่สามารถวางขายไอโฟน 12 ทั้ง 4 รุ่นได้พร้อมกัน
โดยปกติแล้วแอปเปิลจะเปิดตัวโทรศัพท์ไอโฟนรุ่นใหม่ในช่วงต้นเดือนกันยายนของทุกปีแต่เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ปีนี้เป็นครั้งแรกที่แอปเปิลเลื่อนวันเปิดตัวไอโฟนรุ่นล่าสุด “ไอโฟน 12 (iPhone 12)” มาเป็นวันที่ 13 ตุลาคมและเปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 16 ตุลาคม ที่สำคัญการพรีออเดอร์ครั้งนั้นสามารถทำได้เพียงซื้อไอโฟน 12 รุ่นธรรมดากับรุ่นโปร (iPhone 12 Pro) โดยไอโฟน 12 มินิ (iPhone 12 Mini) และไอโฟน 12 โปร แม็กซ์ (iPhone 12 Pro Max) จะเริ่มเปิดให้พรีออเดอร์ในสัปดาห์นี้
นาย Toni Sacconaghi นักวิเคราะห์จาก Bernstein มองว่าวิธีที่จะทำให้นักวิเคราะห์อีกฝั่งเชื่อว่าการเปลี่ยนดีไซน์โทรศัพท์และการมีเทคโนโลยี 5G จะช่วยเพิ่มยอดขายของโทรศัพท์ไอโฟนได้ แอปเปิลต้องทำให้การเติบโตดังกล่าวเกิดขึ้นในไตรมาสที่สี่นี้
“ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เหมาะกับการพิสูจน์ตัวเองไปมากกว่าช่วงเวลาในไตรมาสที่สี่ที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดอีกแล้ว หากแอปเปิลไม่สามารถทำตัวเลขยอดขายในไตรมาสนี้ได้ตามเป้า บริษัทก็ควรจะพิจารณาตัวเองได้แล้วว่าต้องทำอะไรสักอย่างใหม่กับไอโฟนจริงๆ”
จากยอดขายไอโฟนที่หดตัว นักลงทุนบางส่วนจึงเป็นกังวลว่ายอดขายโทรศัพท์ในประเทศจีนจะลดลงตามด้วยหรือไม่เพราะผลประกอบการในไตรมาสที่สองระบุว่ายอดขายไอโฟนในฝั่งเอเชียลดลง 29% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2014 บทวิเคราะห์จาก Wall Street Journal ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า
“แม้แอปเปิลจะเปิดตัวมือถือไอโฟนที่สามารถใช้งาน 5G ได้ แต่อย่าลืมว่าประเทศจีนมีการใช้งาน 5G ได้ก่อนสหรัฐอเมริกาแล้ว ที่สำคัญแบรนด์มือถือภายในประเทศก็สามารถรองรับ 5G ได้ก่อนแอปเปิลเสียอีก ดังนั้นแอปเปิลอาจจะเสียลูกค้าไปตั้งแต่ก่อนการเปิดตัวมือถือที่รองรับ 5G แล้วก็เป็นได้”
ถึงจะมีอุปสรรครออยู่ข้างหน้า ผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิลก็ยังเชื่อว่าบริษัทยังอยู่บนเส้นทางที่จะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ นาย Luca Maestri หัวหน้าฝ่ายการเงินของแอปเปิลให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า
“ผมเชื่อว่าโทรศัพท์มือถือไอโฟน 12 โปร แม็กซ์จะสามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้อย่างยอดเยี่ยม ผมมั่นใจว่าคริสต์มาสปีนี้แอปเปิลจะยังสามารถประกาศชัยชนะได้อย่างเต็มภาคภูมิเหมือนเดิม”
โดยสรุปแล้ว
เป็นความจริงที่ว่ายอดขายไอโฟนไม่ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลงย่อมส่งผลกระทบต่อหุ้นบริษัท ตราบใดที่การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังไม่จบ หุ้นแอปเปิลก็ยังจะได้รับผลกระทบเช่นนี้ต่อไป แต่ก็เป็นความจริงอีกเช่นกันว่าแอปเปิลคือบริษัทที่ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีในการลงทุนระยะยาว เพราะบริษัทมีกลยุทธ์ในการกระจายความเสี่ยงไปยังผลิตภัณฑ์อื่นที่อยู่รอบโทรศัพท์ไอโฟน