เมื่อสองสัปดาห์ก่อนเราเคยแนะนำไว้ว่า หากคุณเร่งเข้าลงทุนเพื่อฉวยโอกาสทำกำไรในช่วงที่สถานการณ์ภูมิศาสตร์ทางการเมืองมีความเสี่ยงมากช่วงที่ซาอุดิอาราเบียถูกโจมตีนั้น ให้ระวังเกี่ยวกับ ความเสี่ยงครั้งใหญ่ที่อาจส่งผล กับการฟื้นตัวของราคาน้ำมันไว้ให้ดี
แม้ว่าการคาดการณ์ดังกล่าวจะถูกต้อง แต่เราก็ยังแปลกใจว่าปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นตลาดให้ฟื้นตัวขึ้นได้ในนั้นกลับอ่อนแรงลงไปภายในเวลาเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ปิดตลาดที่ระดับ $55.91 ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ของสหราชอาณาจักร ไปปิดที่ระดับ $61.91
กราฟราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสราย 60 นาที - สร้างโดย TradingView
สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบทั้งสองแห่งดังกล่าวปรับลดลงไปเกือบ 4% ถือว่าเป็นการปรับลดครั้งใหญ่ที่สุดของน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 กรกฎาคมเป็นต้นมา และสำหรับน้ำมันดิบเบรนท์ก็เป็นการปรับลดที่มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมเป็นต้นมาด้วยเช่นกัน และที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นก็คือราคาน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ปิดตลาดได้สูงกว่าที่เคยทำได้ก่อนวันที่เกิดการโจมตีซาอุดิอาราเบียในวันที่ 14 กันยายนเพียง $1 เท่านั้น ส่วนน้ำมันดิบฝั่งสหราชอาณาจักรกลับต่ำลงกว่าเดิม $2
วิกฤติการณ์การขาดแคลนน้ำมันครั้งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงตามคาด
เหตุการณ์ที่ควรจะถือว่าเป็นวิกฤติการขาดแคลนน้ำมันครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 50 ปี เนื่องจากเกิดความเสียหายกับการผลิตน้ำมันดิบในปริมาณมากถึง 5% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั่วโลกนั้นกลับไม่ทำให้ตลาดสะทกสะท้านแต่อย่างใด
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ ความเสี่ยงที่เคยรับรู้ได้ในตลาดกลับหายไป เนื่องจากความกลัวในเรื่องการโจมตีดังกล่าวเริ่มลดน้อยลง
ความกังวลส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงกลั่นน้ำมันในเมืองอับกาอิกของบริษัทอรามโกของซาอุดิอาราเบียซึ่งเดิมเคยผลิตน้ำมันได้ถึง 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ว่าจะต้องสูญเสียโอกาสในการผลิตและจะต้องใช้เวลาซ่อมแซมยาวนานเพียงใด
แต่บริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของซาอุดิอาราเบียรายนี้กลับเปิดเผยว่าลูกค้าที่ซื้อน้ำมันจากบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อยจากการโจมตีในครั้งนี้ และกล่าวว่าบริษัทจะทำการซ่อมแซมท่อส่งน้ำมันทั้งหมดได้ในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์และจะกลับมาเปิดทำการได้ตามปกติ
เพื่อพยายามที่จะดึงความสนใจของตลาดมาที่การเปิดจำหน่ายหุ้นของอรามโกในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดจำหน่ายหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกนั้น อรามโกยังเสริมด้วยว่าซาอุดิอาราเบียมีกำลังการผลิตน้ำมันในปัจจุบันเพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงก่อนการโจมตีในวันที่ 14 กันยายนด้วยซ้ำไป
ความเสี่ยงในเรื่องปริมาณน้ำมันจึงยังไม่น่าเป็นปัญหา
ความเสี่ยงในเรื่องสงครามยังมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย ทำให้น้ำมันถูกขายมากกว่าซื้อ
ปัจจัยสำคัญอีกด้านหนึ่งก็คือคำถามที่ว่า สหรัฐฯ จะเข้าช่วยเหลือซาอุดิอาราเบียในการดำเนินการทางทหารกับอิหร่านหรือไม่ เนื่องจากสหรัฐฯ และซาอุดิอาราเบียต่างก็เชื่อว่าอิหร่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีในครั้งนี้
กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนเป็นผู้ออกมาแสดงความรับผิดชอบในการโจมตีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กันยายน แต่ประเทศมหาอำนาจตะวันตกอย่างฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมนีกลับไม่เชื่อเช่นนั้นและยังได้มุ่งเป้าไปที่อิหร่านด้วยเช่นกัน แต่อิหร่านยังปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวอยู่
มกุฏราชกุมารแห่งซาอุดิอาราเบียได้ออกมาเตือนในขณะให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ราคาน้ำมันอาจ "สูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ” หากประชาคมโลกไม่หันมาร่วมมือกันยับยั้งอิหร่าน แต่เจ้าชายเสริมว่าพระองค์ยังอยากใช้วิธีการทางการเมืองมากกว่าวิธีการทางทหาร
กลุ่มกบฏฮูตีออกมากล่าวเมื่อวันเสาร์ว่าพวกเขาได้ทำการโจมตีที่ตั้งใกล้แนวชายแดนของเยเมนใกล้กับเมืองนาจรานซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของซาอุดิอาราเบียและจับกุมกองทหารและยานพาหนะไว้จำนวนมาก แต่ทางการของซาอุดิอาราเบียก็ไม่ได้ยืนยันข้อมูลในเรื่องดังกล่าวออกมาแต่อย่างใด
ในวันศุกร์มีรายงานว่าซาอุดิอาราเบียได้ยินยอมในข้อตกลงหยุดยิงในเยเมนซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยต่อสู้กับกลุ่มฮูตีเมื่อสีปีที่แล้ว
ความสงบสุขในเยเมนจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งกลายมาเป็นจุดสนใจมากกว่าความขัดแย้งระหว่างชาวปาเลสไตน์กับชาวอิสราเอลที่เคยเกิดขึ้นหลายปีก่อนเสียอีก และอาจส่งผลให้เกิดสงครามที่อาจทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลงต่ำลงไปอีกได้
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวย้ำอยู่เสมอว่าเขาไม่ต้องการรบกับอิหร่าน แต่มีเพียงการประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้นหลังมีการโจมตีเกิดขึ้นเท่านั้น เนื่องจากในตอนนี้ทรัมป์ยังมีศึกในประเทศที่จะต้องรับมือจากการถูกยื่นสอบสวนเพื่อปลดตนออกจากตำแหน่งโดยคู่แข่งในสภาอย่างพรรคเดโมแครต ซึ่งน่าจะทำให้เขาไม่มีเวลามานั่งใส่ใจเรื่องของอิหร่านมากนักในตอนนี้
ความเสี่ยงในด้านการเกิดสงครามจึงยังไม่น่าจะเกิดขึ้น
ความกังวลจึงกลับมาที่เรื่องของปริมาณน้ำมันสำรองที่เพิ่มมากขึ้น
เมื่อปัจจัยทางด้านปริมาณน้ำมันและความปลอดภัยยังอยู่ในการควบคุม แต่ยังมีปัจจัยอีกด้านนั่นก็คือเรื่องปริมาณน้ำมันสำรองที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนกลับไปยังจุดที่เคยอยู่เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนอีกครั้ง
นายโดมินิค คิริเชลลา ผู้อำนวยการด้านความเสี่ยงและการซื้อขายจากสถาบันจัดการพลังงานในนิวยอร์คกล่าวว่า
“การซื้อขายในสัปดาห์หน้านี้ ตลาดจะมุ่งความสำคัญไปที่ปริมาณน้ำมันสำรองทั่วโลกที่มีเพิ่มขึ้นและเชื่อว่าสถานการณ์ความเสี่ยงในตะวันออกกลางจะค่อยๆ ดีขึ้นในระยะสั้น”
นอกจากนี้ ตลาดจะยังจับตาการชุมนุมประท้วงของคนงานที่โรงกลั่นน้ำมัน Phillips 66 Bayway ในนิวเจอร์ซีย์ สัญญาจ้างแบบใหม่ของโรงกลั่นน้ำมันจะสิ้นสุดลงในวันอังคารนี้และผลที่ตามมาอาจทำให้ราคาน้ำมันดิบลดต่ำลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำมันเบนซินสำรองจะลดน้อยลง ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นเนื่องจากความกังวลว่าโรงกลั่นน้ำมันจะต้องหยุดทำการ จากข้อมูลที่ผ่านมาในอดีต เมื่อเกิดเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงหยุดงานของโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ โรงงานจะยังดำเนินการต่อไปได้โดยฝ่ายบริหาร และคนงานที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มสหภาพ
น้ำมันและทองคำยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ที่สงครามทางการค้าเหมือนเดิม
ปัจจัยท้ายสุดก็คือเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งถือว่าเริ่มเข้าสู่มิติใหม่หลังจากที่มีการรายงานข่าวออกมาเมื่อวันศุกร์ว่า รัฐบาลของทรัมป์กำลังพิจารณาหนทางในการจำกัดการลงทุนของนักลงทุนชาวอเมริกันในจีน
รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยังพิจารณาที่จะปลดบริษัทหลักทรัพย์สัญชาติจีนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมทั้งจำกัดจำนวนหุ้นของบริษัทจีนที่จัดการโดยองค์กรอเมริกันที่จะนำไปรวมไว้ในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ ด้วย
ช่วงเวลาที่มีการรายงานข่าวดังกล่าวออกมานั้นเป็นช่วงจังหวะของการที่ทั้งสองประเทศกำลังจะมีการเจรจาร่วมกันอีกครั้งในวันที่ 10 ตุลาคมนี้พอดี แต่ทำเนียบขาวไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อข่าวดังกล่าว
ทางด้านทองคำสัปดาห์นี้ก็ยังน่าจะปรับตัวไปอยู่ที่ระดับ $1,500 ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง หากสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังไม่ดีขึ้น ในช่วงการซื้อขายเมื่อเปิดตลาดวันจันทร์ที่ผ่านมา ทั้ง ราคาสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ในตลาด Comex ของนิวยอร์คและ ราคาซื้อขายทองคำ ต่างก็เป็นไปตามราคาซื้อขายทองคำแท่ง เพียงแต่ต่ำกว่าอยู่เล็กน้อย
การซื้อขายทองคำช่วงนี้เหมือนกับเคยเกิดขึ้นในอดีตมาก่อน นักลงทุนที่คาดหวังว่าราคาจะขึ้นก็ยังกังวลว่าราคาจะขึ้นไปได้ที่ระดับ $1,500 ถึง $1,550 เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยอื่นๆ มาเสริม
ส่วนนักลงทุนที่รอให้ราคาทองคำร่วงก็เชื่อว่าราคาทองคำจะร่วงลงไปอยู่ที่ $1,480 จนอาจลงไปแตะที่ $1,420 หากทะลุแนวรับสำคัญที่ระดับ $1,450 ไปได้ อย่างไรก็ตามแม้แต่นักลงทุนที่คาดหวังว่าราคาทองจะขึ้น ยังเชื่อว่าระดับ $1,500-$1,550 นั้นถือเป็นระดับที่ยากเอาเรื่องเลยทีเดียว