ไหนจะต้องเติมโบ ยกกระชับ ลดเรือนริ้วรอย ทำทรีทเมนต์สารพัดอย่าง
เรียกได้ว่าเป็นเมกะเทรนด์เติบโตต่อเนื่อง และมีรายได้ประจำแบบ Recurring Income เวลาหมดคอร์ส
แต่ก็ว่ากันว่า วงการนี้เข้าด้วยแบรนด์ แต่อยู่และไปด้วยหมอที่มีฝีมือ นั่นแปลว่า การแข่งขันรุนแรง ใช้เม็ดเงินโฆษณาเรียกลูกค้าเยอะ คลินิกเยอะมี 1,458 แห่ง และถ้าหมอย้ายไปที่อื่นหรือออกไปเปิดคลินิกเอง ลูกค้าก็พร้อมจะตามไปด้วยเช่นกัน
KLINIQ หรือ The Klinique หุ้นน้องใหม่ที่กำลังจะเข้าตลาด ภาพจำ คือ อัม พัชราภา เป็นพรีเซ็นเตอร์ มี 39 สาขา ตั้งอยู่ตามห้าง ฐานลูกค้ากว่า 200,000 ราย ทำธุรกิจ 4 ประเภท คือ
1. Laser รักษาสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ กำจัดขน ทำ Ulthera ทำ Thermage สัดส่วนรายได้ 40%
2. Injection ฉีดวิตามิน สลายไขมัน Botox, Detox สัดส่วนรายได้ 41%
3. Treatment นวดหน้า ยกกระชับ ทำ 6 packs สัดส่วนรายได้ 15%
4. Surgery ศัลยกรรมตั้งแต่หน้าถึงน้อง ตา คิ้ว จมูก หน้าอก จุดซ่อนเร้น ล่าสุดเปิดศูนย์ศัลยกรรมที่สยามสแควร์ มีดิว อริสรา เป็นพรีเซ็นเตอร์ สัดส่วนรายได้ 5% งานศัลยกรรมดีที่ยอดขายต่อครั้งสูง มาร์จิ้นดี แต่เพิ่งเปิดไม่นาน มีโอกาสเป็นตัวสร้างรายได้ในอนาคต
รายได้ส่วนมากขายเป็นคอร์ส 5-10 ครั้ง แล้วแต่ว่าจะทำอะไร ข้อดีคือ รับเงินสดเข้ามาก่อน ทำให้เราเห็นว่า Cash Cycle ติดลบ 38 วัน ไม่ต่างจากธุรกิจโรงพยาบาล หรือค้าปลีกเลย แต่วิธีการลงบัญชีเป็นแบบนี้
1. ลูกค้าซื้อคอร์สได้เงินสด บันทึกเป็น “รายได้ค่าบริการรับล่วงหน้า” ในงบดุลฝั่งหนี้สิน
2. พอลูกค้ามาใช้บริการก็ค่อยทยอยลงรายได้ ในงบกำไรขาดทุน
3. แต่ก็จะมีลูกค้าทิ้งคอร์ส อาจจะใช้ไม่ทัน ลองแล้วไม่ชอบ ก็จะมีการคำนวณโดยนักคณิตศาสตร์ประกันภัยว่าอัตราการสละสิทธิ์จะเป็นเท่าไหร่ เราถึงเห็นว่าช่วง COVID เลยมีตัวเลขตรงนี้เยอะประมาณ 11-12% ของรายได้ แต่ตอนนี้ก็กลับมาที่ปกติ 6%
==================
ผลประกอบการของKLINIQ
ปี 2562 ยอดขาย 976 ล้านบาท กำไรสุทธิ 115 ล้านบาท
ปี 2563 ยอดขาย 1,000 ล้านบาท กำไรสุทธิ 145 ล้านบาท
ปี 2564 ยอดขาย 950 ล้านบาท กำไรสุทธิ 129 ล้านบาท
6M64 ยอดขาย 452 ล้านบาท กำไรสุทธิ 60 ล้านบาท
6M65 ยอดขาย 715 ล้านบาท กำไรสุทธิ 100 ล้านบาท
อัตรากำไรของKLINIQ
ปี 2562 GPM 57.9% NPM 11.7%
ปี 2563 GPM 59.4% NPM 14.3%
ปี 2564 GPM 57.1% NPM 13.6%
6M64 GPM 56.9% NPM 13.3%
6M65 GPM 57.3% NPM 14%
ข้อสังเกต คือ
1. รายได้ดี โตต่อเนื่อง แต่ถ้าปิดห้างจะแย่ เพราะสาขาอยู่ในนี้หมด ยกเว้นแค่สยาม
2. สาขาในกรุงเทพ กับ ต่างจังหงวัด มีพอๆ กัน และยอดขายก็พอๆ กันด้วย แปลว่า สาขาต่างจังหวัดขายดี มี Demand และอาจมีการแข่งขันน้อยกว่าในกรุงเทพก็ได้ สาขาใหม่ๆ ที่เปิดเมืองรองอย่าง จันทบุรี และสระบุรีก็ทำยอดขายได้ดี
3. ยอดขายโดยเฉลี่ย 30-39 ล้านบาท ต่อสาขาต่อปี
4. งบลงทุน 20-30 ล้านบาทต่อสาขา Payback Period 3-5 ปี
5. GPM สูงเกือบ 60% แต่ค่าใช้จ่ายเยอะนะทั้งค่าโฆษณา ค่าพนักงาน ค่าเครื่องมือ ค่าเสื่อม ค่าเช่าที่ ทำให้ NPM ถอยลงมาเหลือ 13-14%
===============
แผนในอนาคต
1. เปิด 6-10 สาขาต่อปี ตีกลมๆ รายได้จะเพิ่มมา 210-390 ล้านบาทต่อปี อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับสาขาที่เปิด คอร์สที่เปิด Demand แต่ละพื้นที่ด้วย
2. ลงทุนซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ 650 ล้านบาท เช่น Pico Laser เครื่องรักษาฝ้าลึกเป็นสิบล้านบาท มาลงได้หลายสาขามากขึ้น
3. ขยายศูนย์ศัลยกรรม ตอนนี้ที่สยามมี 4 ห้อง คิดว่าไม่นานน่าจะเต็ม ก็ต้องมองสถานที่เปิดเพิ่มเติม
4. พัฒนาระบบ IT และระบบข้อมูลลูกค้า อันนี้เป็นเรื่องที่หมอเติ้ล เจ้าของพูดว่า การเข้าตลาดช่วยให้มีระบบมากขึ้น
ราคาหุ้น
ราคา IPO 24.50 บาท 60 ล้านหุ้นเท่านั้น Trailing P/E 31.8 เท่า
แต่ถ้าเราคิดเล่นๆ ครึ่งปีรายได้ 700 กำไร 100 ล้านบาท เปิดสาขาปีนี้เยอะมาก จบปีกำไรอาจจะไปแตะ 200 ล้านบาทได้
จำนวนหุ้น 220 ล้านหุ้น EPS 0.91 P/E ก็เหลือ 27 เท่า
KLINIQ มองง่ายๆ คือ หุ้น Growth ที่มาร์จิ้นสูง เติบโตจากการขยายสาขา และเครื่องมืออุปกรณ์การรักษาใหม่ๆ แต่การแข่งขันก็สูง ลูกค้าอาจติดหมอ แปลว่า ต้องดูแลหมออย่างดี และลดงบโฆษณาลงไม่ได้ แต่จะได้ economy of scale ถ้ารายได้มากขึ้น
หุ้นแบบนี้ราคาจะไม่มีทางถูก ถ้ายังโตไปเรื่อยๆ
ราคาจะลง เมื่อกำไรดี แต่โตต่อไม่ไหว หรือมีอะไรที่ดูไม่น่าไว้วางใจให้เราสงสัย
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ วิตามินหุ้นเพียงให้ข้อมูลประกอบการลงทุนเท่านั้น
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins - วิตามินหุ้น