หากพูดถึงวงการอาหารแล้วหนึ่งในหุ้นของบริษัทผู้ผลิตเนื้อที่สร้างสรรค์อย่างบียอนด์ มีท (NASDAQ:BYND) ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตเนื้อที่มาแรงเพราะผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้องของบียอนด์ มีทไม่ใช่เนื้อแท้แต่เป็นเนื้อเทียมที่สามารถทำเนื้อออกมาเอาใจเหล่าคนรักสุขภาพหรือกลุ่มผู้บริโภคที่เน้นผักเป็นหลัก ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทและขายผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืชนี้มา บียอนด์ มีทไม่เคยใช้เนื้อสัตว์เลยมาตั้งแต่ปี 2012
ในแง่ของธุรกิจ การทำ IPO ของบียอนด์ มีทในปี 2019 สามารถเรียกเสียงฮือฮาและเป็นประวัติศาสตร์การลงทุนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ครั้งหนึ่ง ในวันแรกที่เปิดให้มีการซื้อขายหุ้นบียอนด์ มีททะยานขึ้นทันที 84% มีมูลค่าตลาดในวันนั้นอยู่ที่ $241 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากนั้นภายในสามเดือน นิตยสารฟอร์บก็ได้รายงานว่ามูลค่าของบริษัทบียอนด์ มีทมีมากกว่า $13,000 ล้านเหรียญสหรัฐไปเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าปัจจุบันมูลค่าตลาดของบริษัทจะมีมูลค่าลดลงเหลือ $9,800 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่หุ้นของบียอน์ มีทยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากวันที่เริ่มต้นเปิดให้เป็นเจ้าของหุ้นบียอนด์ มีท มูลค่าของหุ้นก็ได้เพิ่มขึ้นจากวันนั้นมาแล้ว 500% มีราคาซื้อขายปัจจุบันมากกว่า $150 ความน่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งของเนื้อบียอนด์ มีก็คือการที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับผลกระทบโควิด-19 น้อยมากเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ที่ใช้เนื้อสัตว์โดยตรง เพราะเนื้อของบียอนด์ มีทเกิดขึ้นจากห้องแลปและการปลูกพืชที่มีการดูแลเป็นอย่างดี
ถึงจะมีปัจจัยเชิงบวกตามที่กล่าวมาก็ไม่อาจทำให้การรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามปี 2020 ของบียอนด์ มีทเมื่อเช้านี้สามารถเอาชนะตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ได้ กำไรในไตรมาสที่สามออกมาต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ $131.8 ล้านเหรียญสหรัฐด้วยตัวเลข $94.44 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นซึ่งคาดการณ์เอาไว้ที่ $0.05 ก็ออกมาติดลบ $0.28 เมื่อการรายงานผลประกอบการที่ออกมาไม่สะท้อนถึงการเติบโต เราจึงต้องนำการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาช่วยพิจารณาอีกขั้นหนึ่ง
หุ้นบียอนด์ มีทดีดตัวขึ้นมาจากกรอบราคาขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดในวันที่ 19 มีนาคมตั้งแต่ก่อนการรายงานผลประกอบการเสียอีก สาเหตุเป็นเพราะในกรณีที่เลวร้ายที่สุด นักวิเคราะห์ประเมินเอาไว้ก่อนทราบผลประกอบการว่าตัวเลขเหล่านั้นคงไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นรู้สึกหวั่นไหวได้เมื่อเทียบกับปัจจัยเชิงบวกและในกรณีที่ดีที่สุดหุ้นของบริษัทจะได้โอกาสขึ้นสูงยิ่งกว่าเดิมจากตัวเลขผลประกอบการที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้
เส้นค่าเฉลี่ย 200 วันยังคงทำหน้าที่เป็นแนวรับที่อยู่เหนือระดับราคา $120 ตอนนี้ราคาเหลืออยู่เพียงสองแนวต้านสำคัญที่ต้องพิสูจน์คือแนวต้านจากเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันและแนวต้านที่กรอบราคาด้านบนซึ่งอยู่ที่ระดับราคาประมาณ $200
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอให้ทราบตัวเลขผลประกอบการก่อนจึงค่อยวางคำสั่งซื้อขาย อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจทำให้พลาดจังหวะดีๆ ในการทำกำไรได้เมื่อเทียบกับค่าเสียโอกาส
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะเสียงวางคำสั่งซื้อขายในจำนวนเงินที่น้อยตั้งแต่ก่อนการรายงานผลประกอบการ
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะวางคำสั่งซื้อทันที เพราะแม้จะไม่วางออเดอร์เพราะปัจจัยพื้นฐานแต่จากการที่ราคาอยู่ชิดกับกรอบราคาด้านล่าง ถึงอย่างไรอัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทนก็ยังคุ้มค่าที่จะลองอยู่ดี
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: $160
- Stop-Loss: $140
- ความเสี่ยง: $20
- เป้าหมายในการทำกำไร:$220
- ผลตอบแทน: $60
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3