มีเรื่องเล่าคลาสสิกของเศรษฐศาสตร์อยู่เรื่องหนึ่ง
หากนักเศรษฐศาสตร์เห็นแบงค์ตกอยู่บนพื้น
เขาจะไม่เก็บมันขึ้นมา
เพราะว่า หากเป็นแบงค์จริง คนอื่นๆคงเก็บไปแล้ว
เข้ากับสโลแกนที่ว่า
อะไรที่ดูดีเกินจริง มักไม่จริง
แต่ Michael Clemens นักเศรษฐศาสตร์ชาวสหรัฐ แห่ง
Centre for Global Development, an anti-poverty think-tank ใน Washington, DC กล่าวว่า
ไม่จริ๊งงงงงงงง
จริงๆแล้วเงินฟรีมีอยู่เต็มไปหมด
และเงินฟรีนั้นจะทำให้ประชาชนบนโลกรวยขึ้นอีก 2 เท่าด้วย
แค่นโยบายเดียวเท่านั้น อยู่หมัดทันที
----
การเปิดพรมแดน
เขากล่าวว่า
แรงงานคือสินค้าที่มีค่ามากที่สุดในโลก
ต้องขอบคุณ นโยบายกฏเกณฑ์ด้านการย้ายถิ่นฐานที่เข้มงวด ทำให้สินค้าเหล่านี้เสียของอย่างที่สุด
การบังคับให้ประชาชนในดินแดนที่ยากไร้ ทำมาหากินในประเทศของตน ก็เหมือนกับการบังคับให้ชาวนาทำนาในแอนตาร์คติก
มันเป็นไปไม่ด๊ายยยยย
เป็นเรื่องที่ไร้สาระมากกกกก
เป็นการกระทำที่แทบจะไม่เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจเลย
มีการคาดการณ์ว่า หากมีการเปิดพรมแดนสหรัฐ ชาวเม็กซิโกจะมีรายได้สูงขึ้นถึง 1.5 เท่า และ ชาวไนจีเรียมีรายได้สูงขึ้นถึง 10 เท่า
แต่เดี๋ยวก่อน!!!
การเปิดพรมแดนในที่นี้ ไม่ใช่การยกเลิกแนวคิดเรื่องความเป็นรัฐชาติ หรือ การยกเลิกเขตแดนระหว่างประเทศ
เพียงแต่เปิดให้มีการย้ายถิ่นฐานได้อย่างอิสระมากขึ้นเท่านั้นเอง
ทำไม
เพราะจากเดิม คนๆหนึ่งอาจใช้มือเปล่าๆปั้นอิฐดินเหนียวไปวันๆ ใช้เคียวเกี่ยวข้าวไปเรื่อยๆ
เมื่อย้ายไปยังประเทศที่ร่ำรวยกว่า สภาวะเอื้อต่อการทำงานมากกว่า
ที่สังคมมีการพัฒนาสถาบันที่ส่งเสริมความมั่งคั่งและสงบสุขมาอย่างยาวนาน
มีตลาดแรงงานที่มีทุนเพียงพอ มีบริษัทที่มีประสิทธิภาพ และระบบกฏหมายที่คาดเดาได้
คนคนเดียวกันอาจมาคุมเครื่องจักร ขับรถแทร็คเตอร์ ซึ่งวันเดียวอาจได้ผลผลิตมากกว่าที่พวกเขาทำทั้งเดือน ณ ที่เดิม
ทำให้
โดยปกติแล้วแรงงานในประเทศร่ำรวยมักมีรายได้มากกว่าแรงงานในประเทศยากจน
มันเป็นการยากยิ่งที่จะย้ายองค์กรของประเทศร่ำรวยไปตั้งที่กัมพูชา
แต่กลับกัน
ครอบครัวชาวกัมพูชาสามารถย้ายไปยังแคนาดาได้ง่ายกว่า
ทางที่เร็วที่สุดในการกำจัดความยากจนให้หมดไปคือการอนุญาตให้ผู้คนสามารถออกจากที่ๆยากลำบาก หรือไม่เอื้อต่อการทำมาหากินได้
Gallup บริษัทโพลล์ยักษ์ใหญ่ เคยสำรวจไว้ในปี 2013
คาดว่าหากมีการเปิดพรมแดนจริง
การอพยพอย่างถาวรจะสูงถึง 630 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 13% ของประชากรโลก!!!
และถ้าเปิดแบบชั่วคราวด้วย จะยิ่งสูงกว่านั้น
โดย
ประมาณ 138 ล้านคนจะย้ายไปยังสหรัฐ
ประมาณ 42 ล้านคนจะย้ายยังสหราชอาณาจักร
และ 29 ล้านคนจะย้ายไปซาอุดิอารเบีย
แต่ถึงกระนั้น ตัวเลขของGallup อาจจะทั้งสูงและต่ำไปก็ได้
(ว่าง่ายๆ คาดเดาไม่ได้นั่นเอง)
เพราะ....
ผู้คนมักไม่ทำตามสิ่งที่ตัวเองพูด
การย้ายถิ่นฐานเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าหาญและการปรับตัวสูง
ต้องบอกลาถิ่นที่เคยคุ้นเคย
ต้องบอกลาญาติพี่น้อง
ต้องบอกลาอาหารพื้นเมืองที่ชื่นชอบ
ไปสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีใครรู้จัก พูดคนละภาษาหรือมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น กรณีของกรีซ
นับตั้งแต่วิกฤติปี 2010 มีประชาชนกรีซย้ายไปยังเยอรมัน ที่มีค่าจ้างสูงกว่า 2 เท่า เพียง 150,000 คน จากประชากร 11 ล้านคน
หรือคิดเป็นเพียง 1.4% เท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น
โดยทั่วไป รุ่นแรกๆที่อพยพไปมักมีการบอกต่อถึงความเป็นอยู่ที่ดี โอกาสต่างๆ ทำให้มีการอพยพตามอย่างมากมาย
จนผลสุดท้าย การอพยพรุ่นที่ 3 รุ่นที่ 4 เมื่อไปถึง อาจจะพบว่าละแวกที่ย้ายไปนั้นมีแต่คนประเทศตนเองก็เป็นได้
ทำให้การอพยพก็กลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวน้อยลงไป
แต่ในยุคของBrexit และทรัมป์
เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นไปได้ยากเพราะ
การอพยพจำนวนมาก จะนำมาซึ่งความไม่พอใจของชาวพื้นเมือง
พวกเขากลัวว่าชีวิตของพวกเขาจะแย่ลง
พวกเขากลัวว่าจะโดนแย่งงานทำ
พวกเขากลัวว่าอาชญากรรมและก่อการร้ายจะมากขึ้น
พวกเขากลัววิถีชีวิตจะถูกคุกคามและกลืนหายไป
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในประเทศร่่ำรวยหรือประเทศปลายทางอย่างที่คาดเดาไม่ได้
ซึ่งความกลัวเหล่านี้คือเหตุผลที่เหล่าผู้ที่ต่อต้านการอพยพนั้นใช้เป็นข้ออ้างทางการเมือง
ปัญหาอาชญากรรม
ในสหรัฐจำนวนนักโทษมีเพียง 1 ใน 5 เท่านั้นที่เป็นผู้อพยพ
แต่ก็มีบางประเทศ เช่น สวีเดน ที่ผู้อพยพนั้นมีแนวโน้มจะเป็นปัญหามากกว่าชาวพื้นเมือง
นอกจากนั้นแล้ว
ยังมีการวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอร์ริคถึงการอพยพในช่วงปี 1970-2000 พบว่าการอพยพนั้นมีแนวโน้มที่จะลดการก่อการร้ายมากกว่าที่จะเพิ่ม
ส่วนใหญ่เป็นเพราะการอพยพช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ
เรื่องเศรษฐกิจล่ะ
มีบ้างที่การไหลบ่าของแรงงานต่างชาติทำให้ค่าแรงสำหรับแรงงานที่ทักษาะใกล้เคียงกันต่ำลง แต่หากแรงงานที่ไหลเข้ามานั้นมีทักษาที่ต่างกัน ก็จะเป็นการชดเชยสาวนของแรงงานที่ขาดอยู่ เช่น วิศวกร หมอ หรือวิชาชีพอื่นๆ
นอกจากนั้นแล้ว ผู้อพยพทักษะน้อยบางส่วน ยังสามาระรับหน้าที่ดูแลเด็กและคนแก่แทน เพื่อให้ชาวพื้นเมืองสามารถนำทักษะของตนไปทำกิจกรรมที่มีมูลค่ามากกว่าได้
ความแออัด
The Economist มองว่า
อาจเป็นไปได้ในเมืองที่เป็นที่นิยมเช่น ลอนดอน
แต่เมืองส่วนใหญ่ในยุโรปยังสามารถขยายตัวได้อีก
สร้างพื้นที่เพิ่มเติมและขยายออกไปเรื่อยๆจนกระทั่งการย้ายถิ่นฐานเริ่มลดลงและใกล้เคียงกับสภาวะปกติ
ถึงแม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
การอพยพอาจนำพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์มาด้วย เช่น การทุจริตทางการเมือง การไม่ยอมรับเกย์ ถ้ามีการอพยพของคนเหล่านั้นมามากพอ พวกเขาอาจลงคะแนนเสียงให้จัดตั้งรัฐบาลอิสลาม หรือให้คนที่ยกภาษีของคนพื้นเมืองให้เพื่อเอาใจผู้อพยพก็ได้
การเปิดพรมแดนแบบทันทีย่อมมีความเสี่ยงอย่างแน่นอนหากไม่มีนโยบายที่เหมาะสมที่จะช่วยการดูดซับการไหลเข้าของผู้อพยพ
แต่ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถลดได้ เช่น
หากกังวลว่าผู้อพยพจะลงคะแนนเสียงทำให้รัฐบาลไม่สนใจชนพื้นเมืองหรือทำให้รัฐบาลไม่เกี่ยวโยงกับพวกเขา
ทางออกหนึ่งคือการไม่ให้สิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงพวกเขา 5 ปี 10 ปี หรืออาจจะตลอดชีวิต
หากกลัวเรื่องสวัสดิการหรือค่าใช้จ่าย ก็เก็บค่าเข้าเมือง(VISA)สูงขึ้น หรือ จำกัดการเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ
ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะเลือกใช่้วิธีอย่างไร
อาจจะฟังดูเป็นการเลือกปฏิบัติ
ถูก!!!!!
มันเป็นการเลือกปฏิบัติ
แต่ก็เป็นการดีกว่าสำหรับผู้อพยพที่จะได้เข้าร่วมตลาดแรงงานของประเทศร่ำรวย
เว้นแต่ว่าพวกเขาจะจ่ายเงินจำนวนมากให้กับพวกลักลอบพาเข้าเมือง และทำงานอยู่ในตลาดแรงงานใต้ดินและเสี่ยงต่อการถูกส่งตัวกลับ
ทุกวันนี้ผู้อพยพทำงานอยู่ตามมุมมืดต่างๆ ที่ซึ่งพวกเขาไม่มีสิทธิ์ทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงย้ายเข้ามา โดยที่ไม่มีใครบังคับ
จริงๆแล้ว เงินฟรีจำนวนมากรอให้เราหยิบอยู่
การเปิดพรมแดนช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ตรงนั้น
ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรให้ชาวพื้นเมืองได้ประโยชน์เหล่านั้นด้วย
โดยทั่วไปแล้ว
รัฐบาลสมัยใหม่มักมีการใช้ภาษีจากคนหนุ่มเพื่อดูแลคนแก่ คนรวยเพื่อดูแลคนจน
ทำไมไม่ใช้นโยบายเดียวกันนี้เพื่อแจกจ่ายความมั่งคั่งจากผู้อพยพไปยังชาวพื้นเมืองล่ะ
ถ้าโลกแห่งการอพยพอย่างอิสระ
จะทำให้คนรวยขึ้นกว่า 78,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เหล่าเสรีนิยมทั้งหลายไม่ควรที่จะเตรียมพร้อมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นหรือ?
#แอดลุง
แปลและเรียบเรียง
Source : https://www.economist.com/…/21724907-yes-it-would-be-disrup…
บทความจากเพจ AKN BLOG
ห้ามพลาด