จากการรายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดของ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนอันได้แก่ Alibaba (NYSE:BABA), Baidu (NASDAQ:BIDU) และ JD.com (NASDAQ:JD) เมื่อเร็วๆ นี้ทำให้นักลงทุนยังคงสงสัยว่าทั้งสามบริษัทจะเป็นอย่างไรต่อไปท่ามกลางความกลัวจากสงครามการค้าที่ยังไม่จบสิ้น รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจของจีนที่กำลังชะลอตัวในขณะนี้ เราจึงนำข้อมูลที่ได้จากรายงานผลประกอบการของทั้งสามบริษัทมาวิเคราะห์เพื่อดูว่าราคาหุ้นของแต่ละบริษัทจะเป็นอย่างไรในอนาคต
Alibaba: A+
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีนรายนี้ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจเมื่อดูจาก รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 4 ในวันที่ 15 พฤษภาคมทำลายสถิติของเส้น top และ bottom กำไรต่อหุ้นปรับแล้วที่ไม่นับรวมกำไร/ขาดทุนที่ไม่ส่งผลต่อการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 50% เป็น $1.28 ในขณะที่รายได้เพิ่มขึ้น 51% เป็น 13,900 ล้านเหรียญ
ในขณะที่ธุรกิจหลักในการซื้อขายยังคงเป็นตัวสร้างรายได้หลักให้กับบริษัท การขยายธุรกิจไปทำระบบคอมพิวเตอร์แบบคลาวด์ก็เป็นที่จับตามองจากนักลงทุนอย่างมาก โดยบริษัทมีรายได้จากธุรกิจระบบคอมพิวเตอร์แบบคลาวด์เพิ่มขึ้นถึง 76% เป็น 1,150 ล้านเหรียญในไตรมาสที่ 4
ข้อมูลการศูนย์วิจัย IDC ระบุว่า Alibaba เป็นผู้ให้บริการคลาวด์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกในขณะนี้ รองจาก Microsoft (NASDAQ:MSFT) และ Amazon (NASDAQ:AMZN)
นายแดเนียล จาง ประธานกรรมการบริหารบริษัทฯ กล่าวว่า "เทคโนโลยีและข้อมูลแบบคลาวด์ รวมทั้งยอดขายปลีกจำนวนมากทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจที่ดำเนินการในจีนและตลาดใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลดีกับการเติบโตของธุรกิจของเราในระยะยาว"
สำหรับวิสัยทัศน์ของบริษัทในปี 2020 จะทำรายได้ให้สูงขึ้น 32.7% เป็น 74,500 ล้านเหรียญ
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายนี้มุ่งเน้นไปที่ผลของการขยายธุรกิจและทำรายได้จากช่องทางใหม่ให้น่าสนใจในระยะยาว ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีต่อไปในอนาคตได้ เราจึงคาดว่าบริษัทน่าจะมีผลการดำเนินการที่ดีขึ้นและขอแนะนำให้เริ่มเก็บหุ้นของบริษัทนี้ไว้
การที่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนนั้นก็เป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งสำหรับบริษัท นายโจเซฟ ไซ รองประธานกรรมการบริหารบริษัทฯ กล่าวในการประชุมหลังจากการรายงานผลประกอบการว่าการเจรจาการทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในประเด็นความไม่สมดุลทางการค้านั้นเป็นผลดีกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซของบริษัทซึ่งทำให้เกิดการส่งเสริมการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่จีนมากขึ้น
หุ้นของ Alibaba ปิดตลาดวันอังคารอยู่ที่ $163.43 เฉพาะในปี 2019 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 19%
JD.com: B-
JD.com มี ผลประกอบการไตรมาสแรก ที่รายงานออกมาในวันที่ 10 พฤษภาคมดีกว่าที่คาด เนื่องจากมีการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกแบบอีคอมเมิร์ซในจีนเพิ่มสูงขึ้นมาก
รายได้ในไตรมาสแรกของ JD ณ วันที่ 31 มีนาคมไต่ขึ้นมา 21% จากไตรมาสเดียวกันเมื่อปีที่แล้วขึ้นมาอยู่ราว 18,000 ล้านเหรียญ และกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจาก $0.10 ในปีที่แล้วมาเป็น $0.33
แม้ว่ารายได้จะสูงขึ้นมากก็ตาม แต่ก็ถือว่าทำผลงานได้ช้าเมื่อเทียบกับเวลาที่เปิดขายหุ้นครั้งแรกออกมาตั้งแต่ปี 2014
จำนวนลูกค้าที่ใช้งานในแต่ละปีของ JD.com เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 310.5 ล้านคน แต่ก็ยังนับว่าน้อยเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของไตรมาสเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม JD.com ยังน่าจะยังคงเป็นขาขึ้นจากการประเมินที่บริษัทฯ แจ้งให้กับนักลงทุนทราบว่ารายได้น่าจะเพิ่มขึ้นจาก 19% เป็น 23% ไปอยู่ที่ประมาณ 21,200 - 22,000 ล้านเหรียญ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขรายได้ที่มีการคาดการณ์เอาไว้ที่ 21,340 ล้านเหรียญ
JD.com ยังกล่าวด้วยว่าได้ต่อสัญญาความร่วมมือทางกลยุทธ์ธุรกิจกับบริษัท Tencent Holdings (OTC:TCEHY) ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการบริการส่งข้อความและเกมในประเทศจีนไปอีก 3 ปีเพื่อร่วมกันแข่งขันกับ Alibaba JD.com ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับสองของจีนคาดว่าการมีพันธมิตรจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและทำให้มีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นได้ด้วยการซื้อขายผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่
นายริชาร์ด หลิว ประธานกรรมการบริหารบริษัทฯ กล่าวว่า "เราจะยังคงลงทุนในเทคโนโลยีหลักๆ และอุตสาหกรรมชั้นนำที่มีความโดดเด่นต่อไปควบคู่กับการทำงานในธุรกิจเพื่อให้มีฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นผ่านนวัตกรรมที่ทันสมัย”
JD.com ปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ราคา $29.05 และเฉพาะในปีนี้ปรับตัวขึ้น 39% เราคาดว่าบริษัทฯ จะยังคงมีผลการดำเนินการที่ดีต่อไปเพราะธุรกิจหลักยังคงแข็งแกร่งและยืนยันจุดยืนอย่างมั่นคงว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีกผ่านอีคอมเมิร์ซของจีนที่ใหญ่เป็นอันดับสอง รองจาก Alibaba เท่านั้น
Baidu: F
บริษัทด้านเทคโนโลยี Baidu ซึ่งมักจะได้รับการเปรียบเทียบว่าเป็น Google (NASDAQ:GOOGL) ของประเทศจีน ได้รายงานผลประกอบการว่า ผลประกอบการขาดทุนรายไตรมาส เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์มากว่า 15 ปี และยังอาจจะมีข่าวร้ายตามมาอีกก็เป็นได้
บริษัทผู้ให้บริการสืบค้นข้อมูลของจีนรายนี้รายงานในผลประกอบการเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมว่าขาดทุนในไตรมาสนี้ประมาณ 49 ล้านเหรียญ
นายโรบิน ลี ประธานกรรมการบริหารบริษัท Baidu กล่าวว่ารายได้ที่ลดลงไปนั้นเกิดจากสภาวะเศรษฐกิจของจีนที่กำลังชะลอตัวในวงกว้าง รวมทั้งการตรวจสอบเนื้อหาทางออนไลน์ที่เข้มงวดขึ้นของรัฐบาล ทำให้ธุรกิจหลักด้านการโฆษณาของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนัก
รายได้จากการทำการตลาดออนไลน์ของ Baidu ซึ่งคิดเป็นประมาณ 73% ของรายได้ในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นเพียง 3% จากปีก่อนหน้านี้ไปอยู่ที่ 3,600 ล้านเหรียญ ชี้ให้เห็นว่าลดต่ำลงจากไตรมาสก่อนเป็นอย่างมาก
"แม้ว่ารัฐบาลจีนจะมีการประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจหลายอย่างเพื่อช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เรายังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์การทำการตลาดออนไลน์ในระยะสั้นต่อไปเนื่องจากน่าจะมีสถานการณ์ที่ค่อนข้างลำบากเกิดขึ้นมากกว่านี้" นายลีกล่าวหลังการประชุมเพื่อแจ้งผลประกอบการบริษัทฯ
เมื่อพิจารณาผลประกอบการที่ค่อนข้างเติบโตช้าประกอบกับความกังวลต่างๆ ดังกล่าวแล้ว Baidu คาดว่ารายได้ในไตรมาสที่ 2 น่าจะยังคงเท่ากับปีก่อนหน้า และคงจะทำให้อัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักเหมือนกับ 2 ปีที่ผ่านมาได้ยาก
จากข้อมูลทั้งหมดข้างต้น หุ้นของ Baidu ยังน่าจะดูไม่รุ่งเท่าที่ควร ราคาหุ้นของบริษัทฯ ปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ $120.49 เฉพาะปีนี้ลดลง 24% และลดลง 50% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา