3 บริษัทใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชา อย่าง Aurora Cannabis, Tilray และกลุ่ม Cronos เผยรายได้ในช่วง 2 สัปดาห์ล่าสุดออกมา ทำให้นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจว่าจะมีการขยายสู่ตลาดใหม่ๆ ในทิศทางใด แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนว่าตลาดจะตอบสนองอย่างไรกับกฎหมายใหม่ในการใช้กัญชานี้ แต่เราจะได้เห็นผลิตภัณฑ์กัญชาในตลาดค้าปลีกของแคนาดาได้ในช่วงปลายปีนี้อย่างแน่นอน เราจะเห็นโอกาสในการทำธุรกิจของทั้ง 3 บริษัทได้ชัดเจนจากตัวเลขที่แสดงในรายงานผลประกอบการ
มาดูกันว่าแต่ละบริษัทมีผลประกอบการเป็นอย่างไรกันบ้าง
- Aurora Cannabis (TO:ACB) เป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในสามบริษัทนี้ มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 8,830 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,880 ล้านดอลลาร์แคนาดา) เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ชั้นนำของโลกซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเอ็ดมันตัน บริษัทรายงานว่าขาดทุนสุทธิลดลงและมีรายได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม
ยอดขาดทุนสุทธิของ ไตรมาส นี้อยู่ที่ 158 ล้านดอลลาร์แคนาดา เนื่องจากมีการขยายโรงงานเพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่ายอดขาดทุนสุทธิ 237 ล้านดอลลาร์แคนาดาของไตรมาสที่แล้วถึง 33 เปอร์เซ็นต์
รายได้ในไตรมาสล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 65.1 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือคิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์จาก 54.18 ล้านในไตรมาสก่อน ยอดขายเพิ่มขึ้น 37 เปอร์เซ็นต์ โดยมียอดขายที่ใช้ทางการแพทย์ในแคนาดาเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์และยอดขายที่ใช้ในทางการแพทย์ทั่วโลกสูงขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์
ตั้งแต่มีการรายงานนี้ออกมา ราคาหุ้นของบริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่งต่อเนื่องจาก US$8.02 (C$10.83) เป็น US$8.99 (C$12.12) และปิดตลาดสัปดาห์ก่อนที่ US$8.68 (C$11.71)
- Tilray (NASDAQ:TLRY) มีรายงานผลประกอบการออกมาในวันที่ 14 พฤษภาคม โดยมียอดขาดทุนสุทธิใน ไตรมาส นี้อยู่ที่ 30.3 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 5.18 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะมีรายได้คิดเป็น 195.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2018 สาเหตุเบื้องหลังการก้าวกระโดดในครั้งนี้ก็คือยอดขายปลีกกัญชาและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกัญชาซึ่งเพิ่มมากขึ้นของ Manitoba Harvest นั่นเอง
นายทิลเรย์ ประธานบริษัทและนายเบรนดอน เคนเนดี ประธานกรรมการกรรมการบริหารร่วมกันกล่าวว่า “การควบรวมธุรกิจ Manitoba Harvest และ Natura Naturals เป็นไปด้วยดี จึงทำให้สามารถขยายธุรกิจไปยังสหรัฐฯ และเจาะตลาดน้ำมัน CBD ได้ นอกจากนั้นยังเพิ่มกำลังการผลิตในอเมริกาเหนือและยุโรปได้มากขึ้นด้วย”
ถึงกระนั้น รายได้ที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ทำให้นักลงทุนเกิดการตอบสนองตามได้มากนัก โดยราคาหุ้นของบริษัทซึ่งเคยอยู่ที่ราวๆ US$47 มีการกระโดดไปแตะที่ US$48.84 ในช่วงแรกๆ ก่อนที่จะหล่นลงไปอยู่ที่ US$46.22 และปิดตลาดสัปดาห์ก่อนที่ US$45.66 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าตลาดมีการตอบสนองกับข่าวดีไปก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ผู้ที่กำลังติดตามสถานการณ์อยู่ควรจับตาไปที่ยอดขายปลีกกัญชาให้ดี ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ในเบื้องต้นได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกัญชาที่กำลังจะออกสู่ตลาดจะได้รับความนิยมมากน้อยเพียงใด
- สัปดาห์ก่อน Cronos Group (NASDAQ:CRON) ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในกรุงโทรอนโต ที่มีขนาดพอกันกับบริษัท Tilray มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4,960 ล้านเหรียญสหรัฐ (6,680 ล้านดอลลาร์แคนาดา) ได้ประกาศ ผลประกอบการ ในไตรมาสแรกออกมา ทำให้หุ้นของบริษัทในวันนั้นร่วงลงไปกว่า 8.8 เปอร์เซ็นต์หลังจากที่มีการประกาศว่ารายได้ที่คาดการณ์ไว้สำหรับช่วงเวลาที่เหลือในปี 2019 จะลดลง
แต่ราคาหุ้นก็ตีกลับขึ้นมาแทบจะอยู่ในจุดเดิมในช่วงสัปดาห์ก่อนได้อีกครั้ง
Cronos กำลังน่าจับตามอง
Cronos รายงานว่ามีรายได้ 6.5 ล้านดอลลาร์แคนาดาในไตรมาสที่สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม แม้ว่าจะสูงกว่าไตรมาสที่แล้ว 15 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ บริษัทแถลงว่ารายได้ที่มากขึ้นนั้นมีปัจจัยหลักมาจากยอดขายน้ำมัน CBD ที่เพิ่มมากขึ้น
รายได้จากน้ำมัน CBD ซึ่งใช้สำหรับการนำไปบำบัดรักษาโรค คิดเป็น 23 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในไตรมาสแรกของปี 2019 ในขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2018 มีรายได้ในส่วนนี้เพียง 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ความนิยมในการนำผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกัญชาไปใช้เป็นยาหรือบำบัดรักษานั้นย่อมเป็นปัจจัยหลักที่ควรต้องติดตามต่อไป
จากข้อมูลไตรมาสล่าสุด Cronos บรรลุข้อตกลงมูลค่า 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐร่วมกับ Altria Group (NYSE:MO) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ในสหรัฐฯ การร่วมทุนกันในครั้งนี้จะทำให้บริษัทได้เปิดห้องทดลองอุปกรณ์ของ Cronos ขึ้นช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นห้องทดลองในอิสราเอลซึ่งใช้สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบระเหยเพื่อใช้กับกัญชาโดยเฉพาะ
นายไมค์ กอเรนสไตน์ ผู้บริหารและประธานกรรมการบริษัทกล่าวว่า “ห้องทดลองอุปกรณ์ของ Cronos จะมีบทบาทสำคัญในการวางตำแหน่งทางการตลาดระยะยาวของบริษัท และจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์แบบระเหยสำหรับลูกค้าและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน”
นักลงทุนจึงควรจับตามองสถานการณ์ราคาหุ้นของบริษัทนี้ให้ดีก่อนที่ผลิตภัณฑ์แบบระเหยนี้จะเข้าสู่ตลาด