ภาพรวมตลาดฟอเร็กซ์ประจำวันที่ 17 เมษายน 2019โดย Kathy Lien กรรมการผู้จัดการด้านกลยุทธ์ฟอเร็กซ์จาก BK Asset Management
ความผันผวนในตลาดฟอเร็กซ์อยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 5 ปี นักวิเคราะห์หลายท่านต่างก็มีความเห็นว่าจะเกิดการทะลุกรอบราคาเร็ว ๆ นี้แน่นอน VIX ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำลงเป็นสามเท่าจากระดับที่เคยขึ้นไปแตะในเดือนธันวาคม และปฏิทินเศรษฐกิจที่อัดแน่นเมื่อวานนี้ก็ไม่อาจสร้างความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่สำคัญได้เลย ล่าสุดจีนได้รายงานความคืบหน้าที่โดดเด่นในภาคการค้าปลีกและการผลิตทางอุตสาหกรรม รวมถึงตัวเลข GDP ในไตรมาสแรกที่เพิ่มสูงขึ้นจนช่วยหนุนคู่สกุลเงิน AUD/USD สู่ระดับที่สูงสุดในระยะเวลามากกว่าหนึ่งเดือน แต่ทว่าแรงซื้อกลับอ่อนแรงลงก่อนปิดเวลาซื้อขายตลาดหุ้นนิวยอร์ค คู่สกุลเงินกลับย่อตัวลงมาหักลบกับแดนบวกที่เคยทำไว้จนหมด นอกจากนี้ข้อมูลทางการค้าฝั่งยูโรโซนก็ไม่อาจโอบอุ้มสกุลเงินยูโรไว้ได้ อีกทั้งดอลลาร์แคนาดาก็ปรับตัวขึ้นมาเพียงเล็กน้อยแม้ว่าจะมีอัตราเงินเฟ้อและดุลการค้าในประเทศที่สูงขึ้น คงจะง่ายเกินไปถ้าหากจะฟันธงว่าความซบเซาดังกล่าวเกิดจากวันหยุดเทศกาลอีสเตอร์ที่ใกล้เข้ามาถึง เพราะระดับความผันผวนได้คงอยู่ในระดับต่ำมาหลายสัปดาห์แล้ว หากพิจารณาจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก็ถือว่ามีความเป็นไปได้ที่จะการผันผวนจะพุ่งขึ้นมา แต่ตามพื้นฐานแล้วขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยกระตุ้นใดที่ชัดเจน Brexit เองก็จะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ไปอีก 4 หรือ 5 เดือน ส่วนการเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ก็ยังดำเนินต่อไปในทางบวก และธนาคารกลางหลักต่าง ๆ ของโลกก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินครั้งใหญ่ในปีนี้ หากหุ้นยังไต่ขึ้นต่อไป ความผันผวนก็จะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปเช่นกัน
ความผันผวนจะกลับมาก็ต่อเมื่อหุ้นพากันดิ่งลง ตลาดหุ้นยังวนเวียนอยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบหกเดือน ฉะนั้นผู้ลงทุนก็ยังสามารถอุ่นใจได้ เพราะการเทขายหุ้นอย่างรุนแรงจะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการขายจุดทำกำไรและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงกันอย่างเป็นวงกว้าง ซึ่งเราก็เคยเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวมาแล้วเมื่อเดือนธันวาคมและมกราคมที่ผ่านมา ดังนั้นคำถามข้อเดียวในขณะนี้คือสาเหตุที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแรงกระตุ้นคืออะไร เราทราบดีว่าธนาคารกลางต่าง ๆ มีความกังวลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นแสดงให้เห็นว่าตลาดกลับไม่ได้มีความกังวลในลักษณะเดียวกันแต่อย่างใด ทั้งนี้หุ้นอาจทะยานขึ้นไปอีกหากการเจรจาทางการค้าจีน-สหรัฐฯ ส่งสัญญาณในทางลบ หรือข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ - ยุโรปทวีความรุนแรงขึ้น ถ้าหากผลประกอบการออกมาอ่อนแอหรือข้อมูลทางเศรษฐกิจมีความคงตัวมากพอที่ธนาคารกลางจะพิจารณาใช้นโยบายแบบตึงตัว การพิจารณาเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอาจเป็นตัวฉุดหุ้นลงไป แต่ทั้งนี้บางครั้งหุ้นก็ปรับตัวอย่างไม่มีสาเหตุเช่นกัน เช่นอาจมีอยู่วันหนึ่งที่เกิดการเทขายหุ้นอย่างฉับพลัน แล้วความกลัวการขาดทุนมากกว่าเดิมจึงยิ่งกดดันให้หุ้นดิ่งลงไปอีก
ในระหว่างนี้ รายงานทางเศรษฐกิจล่าสุดระบุว่าแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของจีนนั้นได้ผลชะงัด รายจ่ายผู้บริโภคและตัวเลขภาคการผลิตพลิกฟื้นขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งในเดือนมีนาคม และอัตราการเติบโตของ GDP ก็เช่นกัน แต่การชะลอตัวเมื่อเทียบปีต่อปีนั้นยังอยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ รายงานดังกล่าวช่วยหนุนให้คู่สกุลเงิน AUDUSD ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในระยะเวลาหนึ่งเดือน และฉุดให้ NZDUSD ฟื้นขึ้นมาจากจุดต่ำสุด แต่แรงซื้อดังกล่าวยังไม่มีความเสถียรสักเท่าไรเนื่องจากตอนนี้อาจยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าขาลงของเศรษฐกิจจีนนั้นสิ้นสุดลงแล้ว ธนาคารกลางออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ต่างก็วางแผนมานานแล้วว่าจะลดอัตราดอกเบี้ย และรายงานดัชนี CPI จากนิวซีแลนด์เมื่อคืนนี้ก็ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นที่ต้องใช้นโยบายแบบผ่อนคลายอีก ค่าดัชนีที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ได้ทำให้คู่ NZD/USD ดิ่งลงสู่ระดับที่ต่ำสุดในรอบสามเดือนที่ .6670
เพราะข้อมูลทางการค้าของฝั่งยูโรโซนที่ออกมาแข็งแกร่งมากขึ้น จึงทำให้ EUR/USD ยังวนเวียนอยู่ที่ระดับ 1.13 บททดสอบที่แท้จริงของสกุลเงินยูโรจะมาในรูปแบบของรายงาน PMI ในวันนี้ ถ้าหากข้อมูลเผยให้เห็นว่ากิจกรรมภาคการผลิตและภาคการบริการในเดือนเมษายนมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว EUR/USD อาจพุ่งขึ้นไปถึง 1.1350 ได้ แต่ถ้าหากตัวเลขออกมาซบเซา 1.13 ก็จะกลายเป็นแนวต้านอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีกำหนดการประกาศยอดค้าปลีกจากทางสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรอีกด้วย คาดว่ารายจ่ายผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งเนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และความแข็งแรงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่รายจ่ายผู้บริโภคทางฝั่งสหราชอาณาจักรน่าจะยังคงออกมาอ่อนแอเช่นเดิม โดยอ้างอิงจากรายงานล่าสุดที่เผยว่าอัตราเงินเฟ้อยังไม่ขยับเขยื้อน