ประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน กลับมาอยู่ในความสนใจหลังจากที่ ยูเครน ยิ่งขีปนาวุธพิสัยไกล ATACMS ที่ได้รับจากสหรัฐฯ เข้าไปใน ดินแดนของรัสเซีย ขณะที่ รัสเซียออกกฤษฎีกา เปิดทางให้ใช้อาวุธ นิวเคลียร์ กับรัฐที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจนิวเคลียร์ หรือ กรณีที่รัสเซียถูกโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวถือ ว่าเป็นความเสี่ยง แต่ในอีกทางหนึ่งก็ส่งผลทำให้ราคา COMMODITY หลักอย่าง น้ำมัน ปิโตรเคมี ค่าการกลั่น ปรับตัวสูงขึ้น สร้างกระแสเก็ง กำไรในหุ้นที่เกี่ยวข้อง ส่วนการเมืองในบ้านเรารอการพิจารณาของศาล รัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องของ ทนายธีรยุทธ จำนวน 6 คำร้องหรือไม่ใน วันที่ 22 พ.ย.(ศุกร์นี้) สำหรับปัจจัยบวกวันนี้เป็นเรื่องมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจ ซึ่งแจกเงิน 10,000 บาท ให้ผู้สูงอายุราว 4 ล้านคน หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาหนุน SET INDEX ปรับที่ขึ้นมาก็อาจจะ เริ่มแกว่งผันผวนออกข้าง โดยวันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1455- 1470 จุด หุ้น TOP PICK เลือก CPALL (BK:CPALL), PTTGC และTOP
ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ หนุนราคาน้ำมันดิบดีดตัวแรง แม้วานนี้ราคาน้ำมันดิบ BRENT / WTI จะปรับตัวขึ้นไม่แรงมากนักราว 0.01%- 0.33%ตามลำดับ ปิดที่ระดับ 73.3เหรียญฯ/บาร์เรล และ 69.4เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่ง สาเหตุหลักคงมาจากความกังวล ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น หลังยูเครน เปิดฉากยิงขีปนาวุธพิสัยไกล ATACMS จากสหรัฐครั้งแรก โจมตีแคว้นไบรอันค์ของ รัสเซีย ขณะที่ฝั่งรัสเซียตอบโต้กลับ โดยประธานาธิบดี“ปูติน”ได้ลงนามในกฤษฎีกา อนุมัติหลักการใหม่สำหรับการใช้อาวุธนิวเคลียร์ เพื่อรับมือกับการโจมตีพรมแดน เป็นวงกว้าง ซึ่งหากพิจารณาจำนวนข่าวเกี่ยวกับ “WAR” ในข่าว BLOOMBERG จะเห็นได้ว่า เมื่อ ตอนรัซเซียบุกยูเครนครั้งแรก มีปริมาณข่าวเกี่ยวกับสงครามในระบบ 5.6 แสนข่าว หลังจากนั้น SET INDEX ทยอยปรับตัวลงตามเส้นสีน้ำเงิน (รูปด้านล่าง) ขณะที่ ปัจจุบันปริมาณข่าวเกี่ยวกับสงครามในระบบ 3.9 แสนข่าว ซึ่งหากความร้อนแรงของ สงครามมีมากขึ้น อาจหนุนให้ปริมาณข่าวเกี่ยวกับสงครามในระบบเพิ่มขึ้น และกดดัน ตลาดหุ้นโลกให้ผันผวนนานขึ้นได้
อย่างไรก็ตามในเชิงกลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทย ยังมีหุ้นที่ได้ประโยชน์ในยามราคา น้ำมันดิบขาขึ้น ได้แก่หุ้นกลุ่มพลังงาน – ปิโตรฯ PTTEP, PTT (BK:PTT), TOP, PTTGC, IVL, IRPC, BSRC, SPRC และหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH
กระแสบวกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย วานนี้ในการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจนัดแรก มีข้อสรุปที่สำคัญๆ ดังนี้
✓ ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบการแจกเงิน 1 หมื่นบาทเฟส 2 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ มากกว่า 60 ปีไม่เกินเทศกาลตรุษจีนในปี 68(ก่อน 29 ม.ค. 68)
✓ ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบหลักการปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนใน 3 กลุ่ม ได้แก่ บ้าน รถยนต์ และหนี้เพื่อการบริโภค โดยให้มีการพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี
✓ ภาคอสังหาฯ : อยู่ในช่วงหาแนวทางแก้ปัญหาคนที่มีรายได้น้อยยังไม่มีที่อยู่ อาศัย ขณะที่คนก่อสร้างก็อยากจะสร้างบ้าน
✓ ภาคเกษตร : อยู่ระหว่างการพิจาณาเกณฑ์โครงการช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท นอกจากนี้ รมว. มหาดไทยยังได้กล่าวถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศ ขึ้นอยู่กับบอร์ดไตรภาคีขณะที่ด้านกระทรวงแรงงาน เผยว่าหากไม่มีอะไรมาสะดุด จะ เริ่มดำเนินการในวันที่ 1 ม.ค.2568 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทยอยออกมาเพิ่มเติม ซึ่งเน้นไปที่ภาคการบริโภค (C) เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนให้ GDP GROWT ใน 4Q67 ขยายตัวตามเป้าหมาย +3.6% (สศช. คาดปีนี้โต +2.6%) ได้ไม่ยากนัก พร้อมกับเป็นแรงส่งไปถึงต้นปีหน้า แนะนำหุ้น ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น อาทิ BJC CPALL CPAXT CPN CENTEL ERW MINT MTC TIDLOR SAWAD
ีกประเด็นหนึ่งของปัจจัยภายในประเทศ ยังมีประเด็นทางการเมืองไทย ที่ต้องติดตาม อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมักมีผลต่อความผันผวนในตลาดหุ้น โดยวานนี้แม้ว่าจะม
กระแสข่าว อสส. ไม่รับดำเนินการคดีตรวจสอบพฤติกรรมของทักษิณและพรรคเพื่อ ไทย จาก 6 คำร้องของทนายธีรยุทธ แต่อย่างไรก็ตามในวันที่ 22 พ.ย. 67 ยังต้อง ติดตามผลตำตัดสินของ ศาล รธน. ว่า 'รับ-ไม่รับ' คำร้องหรือไม
6 หุ้นเด่นผ่านการ OPTIMIZATION น่าสะสมระยะ 1 ปี หลังโควิดถึงปัจจุบัน การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยากขึ้น ถูกกดดันจากเศรษฐกิจและ กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตช้า และต่ำคาด, การเมืองไม่นิ่ง, FUND FLOW ชะลอไหล เข้า กดดันให้ ในปี 2022, 2023, 2024YTD มีสัดส่วนจำนวนหุ้นทั้งหมดในดัชนี SET และ MAI ที่ให้ผลตอบแทนรายปีเป็นบวกน้อยกว่าครึ่ง หรือเพียง 31%, 14%, 26% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ตลาดมีจำนวนหุ้นบวกรายปีต่ำ ทำให้การลงทุนต้อง พิถีพิถัน และเน้น SELECTIVE BUY มากขึ้น
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษา และค้นหาหุ้นที่คาดว่าจะเอาชนะตลาด และน่าสะสม สะสมระยะ 1 ปีขึ้นไป ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
▪ เลือกหุ้นที่มี SAFETY MARGIN สูง โดยปกติตลาดหุ้นและหุ้นมักจะไม่ลบ ติดต่อกัน 2 ปี ทำให้หุ้นที่ย่อตัวลงมาในปีนี้ ช่วยลด DOWNSIDE RISK ลงไป ระดับหนึ่งแล้ว
▪ เลือกหุ้นที่กำไรปีหน้ามีโอกาสเติบโตเด่น โดยสังเกตได้จากหุ้นที่ขึ้นแรง อันดับต้นๆใน SET100 ในแต่ละปี มักเป็นหุ้นที่กำไรปีนั้นเติบโตเด่นมาก ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหา กลุ่มหุ้นที่ราคาย่อตัวลงมาเยอะ แต่กำไรมี โอกาสเติบโตเด่นในปี 2568 อาทิ PETRO, CONS, MEDIA, TOURISM, CONMAT, ENERG, PKG, FIN
และเลือกหุ้นเด่นน่าลงทุนจากในกลุ่มนี้ ได้ผลลัพธ์ หุ้นเด่นน่าเข้าสะสมหวังผลในระยะ 1 ปีขึ้นไป คือ SCC, SCGP, MINT, GPSC, CK เป็นต้น นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยฯ ยังค้นหาจุดน่าเข้าสะสมที่เหมาะสมที่สุดรายบริษัท จากการหา OPTIMIZATION ในกรอบการซื้อขาย ผ่านตัวชี้วัดทางเทคนิค อย่าง RSI โดยการ ทดสอบย้อนหลังในระยะเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา ผลลัพธ์จะได้ช่วงซื้อ (RSI กรอบล่าง) และ ช่วงขาย (RSI กรอบบน) ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีสุดสำหรับหุ้นตัวนั้นๆ ซึ่งนัก ลงทุนสามารถติดตามอ่านได้ในบทวิเคราะห์ INVESMENT STRATEGY ฉบับเต็มใน วันนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities