ตลาดหุ้นโลกยังคงผันผวน นักลงทุนรอดูผลการเลือกตั้งสหรัฐในเช้าวัน พรุ่งนี้ กดดันสินทรัพย์ TRUMP TRADE อย่าง BITCOIN และ BOND YIELD 10 ปี สหรัฐ ที่ย่อตัวลงแรง หลังผลสำรวจคะแนนความนิยมของ TRUMP – HARRIS สูสีกันมาก ขณะเดียวกันยังส่งผลให้มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยวานนี้เบาบางลงมาก (เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย) เหลือเพียง 2.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน เท่านั้น ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน และต่ำสุดเป็นอันดับ 5 ของปีนี้ ส่วนปัจจัยสนับสนุนมี ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 2% บวกต่อ TOP BCP PTTEP การเบิกจ่ายภาครัฐที่เร่งขึ้นเร็วในเดือน ต.ค. กว่า 8.13 หมื่นล้าน บาท (สูงสุดในรอบ 10 ปี และคิดเป็นสัดส่วนงบเบิกจ่ายลงทุนปี 68 สูงถึง 8.4%) บวกต่อ TASCO, SCC, CK, STECON วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1455 – 1470 จุด แนะนำ หลบความผันผวนจากปัจจัยภายนอกกับหุ้น DOMESTIC TOPPICK เลือก CPALL (BK:CPALL), ADVANC, CBG
นักลงทุนรอความชัดเจนการเลือกตั้งสหรัฐ รู้ผลพรุ่งนี้ วันที่ 5 พ.ย. 67 เป็นอีกเหนึ่งเหตุการณที่ทั่วโลกจับตามอง คือ วันเลือกตั้งสหัรฐฯ คน ที่ 47 ซึ่งสหรัฐฯ ซึ่งผลโพลเลือกตั้งล่าสุด มีความผันผวนมาก โดยโพลก่อนหน้านี้ให้ คะแนน DONALD TRUMP (พรรค REPUBLICAN) นำ KAMALA HARRIS (พรรค DEMOCRAT) อย่างไรก็ตามในช่วงสัปดาห์นี้ พรรค DEMOCRAT มีคะแนนนิยมเร่ง กลับขึ้นมา จนทำให้ล่าสุดคะแนนความนิยมของทั้ง 2 พรรค เท่ากันที่ 48.5
ประเด็นดังกล่าว จึงทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯผันผวนในช่วงนี้และเห็นสินทรัพย์ TRUMP TRADE พลิกกลับมาผันผวน ช่วงก่อนเลือกตั้ง อาทิ BITCOIN ย่อตัวเกือบ 10 % ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา เช่นเดียวกับ BOND YIELD 10Y สหรัฐ ซึ่งอาจสะท้อนถึงการ ดำเนินนโยบายเชิงรุกในการลดดอกเบี้ยของ FED อีกครั้ง โดยล่าสุด FED WATCH TOOL ให้น้ำหนัก 99.5% ต่อการลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม 7 พ.ย.67
ดังนั้น นักลงทุนจึง WAIT AND SEE รอความชัดเจนหลังเลือกตั้ง จนทำให้ SET INDEX วานนี้มีมูลค่าซื้อขายอยู่เพียง 2.8 หมื่นล้านบาท(ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน / ต่ำสุดเป็นอันดับ 5 ของปี) ซึ่งเหมือนกันกับมูลค่าซื้อขายหุ้นในเอเชียวานนี้ที่ลดลง อย่างมีนัยฯเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 1 เดือนที่ผ่านมา อาทิ HANG SENG –45% ,ASX200(AUSTRALIA) -29% , FTSE MALAYSIA -25% , CSI300 -23% เป็นต้น
สรุป นักลงทุนรอความชัดเจนการเลือกตั้งสหรัฐ รู้ผลพรุ่งนี้ ซึ่งทำให้สินทรัพย์ TRUMP TRADE ที่ปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ ทั้ง BITCOIN และ BOND YIELD 10Y สหรัฐ พลิกกลับมาผันผวน โดยฝ่ายวิจัยฯคาดว่าวันนี้ SET INDEX น่าจะแกว่งผัน ผวนในกรอบแคบรอความชัดเจนเช่นกัน โดยวันนี้คาดกรอบ SET 1455-1470 จุด
รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบลงทุน หวังพยุงเศรษฐกิจไทย วานนี้ นายกฯ เป็นประธาน ในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือ เทียบเท่า ครั้งที่ 4/2567 ซึ่งยังไม่ได้มีการหารือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด ด้าน รมว.คลัง เผยว่าขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจ โดยอาจจะเน้นไปที่มาตรการกระตุ้นในระยะสั้นเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม นายกฯ เน้นย้ำเร่งรัดการเบิกจ่าย โดยเฉพาะงบลงทุน ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 80% ซึ่งงบประมาณลงทุนปี 2568 มีมูลค่าถึง 9.1 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น +2.7%YOY (สัดส่วนราว 5% ของ GDP) ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐ (G) จะเป็นอีก หนึ่งเครื่องยนต์สำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวต่อเนื่อง
ขณะที่ล่าสุดมีสัญญาณการเบิกจ่ายภาครัฐเร่งตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วง 1 เดือน แรก ของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค.67) มีการเบิกจ่ายงบทุนไปแล้ว 8.4%ของทั้งหมด ซึ่งมากกว่าช่วงปีที่ผ่านๆ มา โดยใช้เม็ดเงินไปแล้วราว 8.1 หมื่นล้านบาท สูงกว่า ค่าเฉลี่ย 8 ปี ที่ 3.39 หมื่นล้านบาท
ประเด็นดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯ มองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มวัสดุก่อนสร้างและรับเหมาฯ อาทิ TASCO, SCC, SCCC, CK, STECON, GLOBAL เป็นต้น
มุมมองต่อทิศทางกำไรกลุ่มอสังหาฯ ทิศทางกลุ่มอสังหาฯ : 3Q67 คาดกำไรปกติของ 14 บริษัทในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย รวม 7.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% QOQ จากการส่งมอบของ BACKLOG คงค้าง แนวราบ และการโอนกรรมสิทธิ์ที่มากขึ้นของคอนโดฯ ใหม่ทั้งของบริษัทเองและร่วมทุน หนุนยอดโอนฯ และส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น ชดเชยกับการแข่งขันในตลาด สูงขึ้น นำสู่การใช้กลยุทธ์ด้านราคา คาดกดดันมาร์จิ้นขายอ่อนตัวและเป็นเหตุหลักที่ กดดันกำไรกลุ่มฯคาดลดลง 7% YOY
หากพิจารณากำไรรายบริษัท 3Q67 พบว่ามีการเติบโตแตกต่างกันไป สำหรับ AP, ORI, PSH และ LALIN คาดกำไรเป็นไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มฯ คือ ดีขึ้น QOQ แต่ ลดลง YOY โดย AP, ORI และ PSH มีแรงหนุนจากการส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ ขณะที่ LALIN ดีขึ้นตามยอดขายกลุ่มแนวราบ ต่างจาก ASW แม้มียอดโอนกรรมสิทธิ์สูงขึ้น จากกลุ่มคอนโดฯ แต่การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายขายบริหาร คาดกดดันกำไรลดลง QOQ (แต่เติบโต YOY) ขณะที่ SPALI, SC และ ANAN คาดเป็นเพียงไม่กี่บริษัทในกลุ่ม ฯ ที่สามารถสร้างกำไรเพิ่มขึ้น YOY และ QOQ สำหรับ SC ได้แรงหนุนจากกลุ่ม แนวราบ ส่วน SPALI ขับเคลื่อนจากการส่งมอบต่อเนื่องของ BACKLOG แนวราบและ คอนโดฯ ใหม่ หนุนให้กำไรของบริษัทจะทำระดับสูงสุดของกลุ่มฯ ในไตรมาส 3 เช่นเดียวกับ ANAN เริ่มโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ JV ใหม่ เข้ามาช่วยพลิกให้ผล ประกอบการมีกำไร แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำ ด้าน LH, SIRI, QH และ LPN คาดกำไรอ่อน ตัวทั้ง YOY และ QOQ โดย LH, SIRI และ QH มาจากยอดโอนฯ แนวราบที่ลดลงตาม ยอดขาย ทิศทางกำไรปกติ 4Q67 คาดเติบโตต่อเนื่อง QOQ สนับสนุนด้วย BACKLOG ที่คง ค้างจากสิ้น 3Q67 , การเปิดโครงการใหม่เพิ่ม (ปกติไตรมาส 4 เปิดมากสุดของปี) ,ส่ง มอบคอนโดฯ ใหม่ที่สร้างเสร็จพร้อมโอนฯ, การจัดกิจกรรมการตลาดเชิงรุกของ ผู้ประกอบการ ตลอดจนโค้งสุดท้ายของมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนฯ-จดจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาทก่อนจะสิ้นสุดปีนี้ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย ที่ลดลง คาดเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อผลประกอบการ 4Q67 มีกำไรสูงสุดของปี คง แนะนำลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่ม เลือกหุ้นเด่นที่มีการกระจายของพอร์ตสินค้าทั้ง แนวราบและคอนโดฯ รวมถึงทิศทางผลประกอบการ 3Q67 ที่ยังดีกว่ากลุ่มฯ ได้แก่ AP (FV@B14.20), SPALI (FV@B23.00) และ SC(FV@3.46)
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities