เรามีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางของ SET INDEX โดยสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นภาวะที่ FUNDAMENTALและ FUND FLOW เข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อน พร้อมกัน โดยในมุมของ FUNDAMENTAL ล่าสุดกระทรวงการคลัง ประเมินว่า GDP GROWTH ปี 2567 น่าจะเติบโต 3% YOY ซึ่ง หมายความว่า 2H67 มีโอกาสโตแตะระดับ 4% ในมุมของกำไรบริษัทจด ทะเบียนคาดหมายว่า 2H67 น่าจะเติบโต 11% จาก1H67 และโต 27% YOY ส่วนในมุมของ FUND FLOW ในสัปดาห์นี้คาด FED น่าจะปรับลด ดอกเบี้ย ล่าสุดเสียงส่วนใหญ่ใน FEDWATCH TOOL คาดลดดอกเบี้ย 0.5% ซึ่งน่าจะทำให้FLOW จากต่างชาติไหลเข้าบ้านเรา ขณะที่วันนี้จะมี การเปิดจองกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เห็นเม็ดเงินก้อน ใหม่จากสถาบันในประเทศไหลเข้าตลาดหุ้น ประเมินว่าการพักฐานของ SET INDEX ในรอบสั้นๆ น่าจะใกล้จบลง ส่วน ภาพในระยะกลางเชื่อว่าอยู่ในขาขึ้น วันนี้คาดกรอบ 1415 –1440 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก ADVANC, CK และ SCC
สัญญาณดอกเบี้ยขาลงแจ่มชัด การเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่าน ได้กดดันเงิน เฟ้อหลายประเทศชะลอตัวลงเรื่อยๆ ทำให้ล่าสุดเริ่มเห็นภาพของการเดินหน้านโยบาย การเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น นำโดยยุโรปที่ในปีนี้ ECB ลดดอกเบี้ยไปแล้ว 2 ครั้ง รวม 0.5% สู่ระดับ 3.5% หลังเงินฟ้อลงมาต่ำกว่า 3%
ขณะทั่ในสัปดาห์นี้ยังมีการประชุมธนาคารกลางอีกหลายแห่ง อาทิ
• ประชุม FED วันที่ 18 ก.ย. 67 โดย CONSENSUS คาดว่า FED จะเริ่มลด ดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ลง 0.25% สู่ 5.25% ขณะที่ผลการสำรวจของ FED WATCH TOOL เทน้ำหนักส่วนใหญ่ให้กับการลดดอกเบี้ย 0.5% สู่ 5.0%
• ประชุม BOE วันที่ 19 ก.ย. 67 โดย CONSENSUS คาดว่า BOE จะคง ดอกเบี้ยไว้ที่ 5.0% หลังจากลดดอกเบี้ยครั้งแรกไปแล้วเมื่อช่วง ส.ค. 67
• ประชุม BOJ วันที่ 20 ก.ย. 67 โดย CONSENSUS คาดว่า BOJ จะคง ดอกเบี้ยไว้ที่ 0.25% หลังปรับขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้งในปีนี้
อย่างไรก็ตามหาก FED ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมวันพุธนี้ เริ่มต้นด้วยอัตรา 0.5% (สูงกว่า CONSENSUS คาดการณ์ 0.25%) ประเมินว่าจะทำให้เงินบาทแข็งค่า มากขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ อีกทั้งตามกลไกละหนุนให้เงินทุนสำรองระกว่างประเทศสูงขึ้น ถือเป็นปัจจัยบวกดึงดูดให้เม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้าไทยเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า
2H67 ช่วงที่ดีของตลาดหุ้นไทย ด้วยการฟื้นตัวของ GDP และ กำไร วันศุกร์ที่ผ่านมาปลัดกระทรวงการคลัง ได้คาดว่า GDP GROWTH ไทยปีนี้มีโอกาส แตะ 3% โดยเริ่มเห็นนโยบายต่างๆ ผลักดันออกมา ดังนี้ 1. เม็ดเงิน 14.5 ล้านคน ของโครงการแจกเงิน 10,000 บาท (ให้กลุ่มเปราะบาง ก่อน ช่วงวันที่ 25-27 และ 30 ก.ย.67) 2. เม็ดเงินใหม่จากงบฯ ปี 2568 (เริ่มใช้ 1 ต.ค.67) กระตุ้นเศรษฐกิจไทยปลายปี 3. กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 เพิ่มความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย (16-20 ก.ย. เปิดจอง ให้กับประชาชนทั่วไป และกองทุนฯ เริ่มเข้าลงทุน 1 ต.ค. 67) ซึ่งหาก GDP GROWTH ปีนี้โต 3% จริงดังคาด ทำให้ช่วง 2H67 จะต้องเติบโตสูงถึง 4.1%YOY
ขณะที่ในมุมกำไรบริษัทจดทะเบียนก็ดูดีเช่นกัน โดยกำไร 1H67 อยู่ที่ 5.3 แสนล้านบาท เติบโต 3.9%YOY ขณะที่กำไรช่วง 2H67 ประเมินมีโอกาสเติบโต 27%YOY จากฐาน 2H66 ที่ต่ำ 4.6 แสนล้านบาท อยู่ที่ระดับ 5.9 แสนล้านบาท(ซึ่งสูงกว่าระดับกำไรช่วง 2H ในอดีต)
ดังนั้น ถือว่าเป็นช่วงที่ดีของตลาดหุ้นไทยนับจากนี้ และถือเป็นโอกาสสะสมหุ้นกำไร 2H67 เติบโตโดดเด่นทั้ง YOY และ HOH ดังตารางด้านล่าง สำหรับ หุ้นที่ฝ่ายวิจัยฯชื่นชอบ คือ หุ้นกลุ่มดังกล่าวที่มี ESG RATING “A-AAA” และ ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปียังไม่ปรับตัวขึ้นแรงมากนัก อาทิ IRPC SCC BCPG GUNKUL BGRIM CK AMATA SCGP MAJOR BEM CRC PLANB HMPRO BCH เป็นต้น
หาหุ้น FUND FLOW ดัก ช่วงกองทุนวายุภักษ์เริ่มเปิดขาย เดือน ก.ย. (1 –13 ก.ย. 67)FUND FLOW ต่างชาติขายหุ้นในฝั่งเอเชียเหนือ โดยขาย สุทธิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น -6.3 พันล้านเหรียญ, เกาหลีใต้ -3.7 พันล้านเหรียญ, ไต้หวัน - 4.9 พันล้านเหรียญ แต่ไหลเข้าตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP มากขึ้น อย่าง อินโดฯ 1.5 พันล้าน เหรียญ, ฟิลิปปินส์ 70 ล้านเหรียญ และไทย 742 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ยังเห็นต่างชาติซื้อหุ้นในกลุ่ม TIP ติดต่อกันนาน อินโดฯ ถูกซื้อสุทธิ ติดต่อกัน 13 วันทำการ 2.48 พันล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 10 วันทำการ 70 ล้าน เหรียญ และไทย 7 วันทำการ 823 ล้านเหรียญ
ตลาดหุ้นไทยได้แรงหนุนจาก FUND FLOW ที่มีการเคลื่อนมาในกลุ่ม TIP และยังมี กระแสกองทุนวายุภักษ์หนึ่งที่วันที่ 16-20 ก.ย.นี้ กระทรวงการคลังจะเปิดจองซื้อหน่วย ลงทุน ประเภท ก. ที่เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป ผ่านธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของ ประเทศ เพื่อเปิดโอกาสคนไทยเข้าถึงสินทรัพย์มั่นคง เพิ่มทางเลือกในการออมเงิน โดย มีระยะเวลาลงทุนเบื้องต้น 10 ปี ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วย รวมประมาณ 100,000-150,000 ล้านบาท ช่วยหนุนให้ MOMENTUM FUND FLOW ยังมีโอกาส ไหลเข้าต่อ ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการคัดกรอง 20 หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติเก็บสะสมมามากสุด ช่วงที่ซื้อสุทธิติดต่อกัน 7 วันทำการติด (5 – 13 ก.ย. 67) น่าจะมี MOMENTUM ใน การซื้อต่อได้ KBANK (BK:KBANK), BH, BBL, CPALL (BK:CPALL), BDMS, KTB, GULF, AOT (BK:AOT), CPN, STPI, TTB, PTTGC, HMPRO, COM7, BTS, GPSC, CPF, ICHI, CPNREIT, CBG
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities