บนความคาดหมายว่ารัฐบาลใหม่ จะเริ่มปฎิบัติหน้าที่ได้ไม่เกิน 15 ก.ย.67 เชื่อว่าหลังจากนั้นจะเริ่มเห็นมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจออกมา ซึ่งใน มุมของตลาดหุ้นแล้วให้น้ำหนักไปที่ 2 เรื่องคือ การกระจายเม็ดเงินกระตุ้น CONSUMPTION ตามแนวคิดของนโยบาย DIGITAL WALLET ที่จะมี การเปลี่ยนแปลงรูปแบบโดยจะเห็นเม็ดเงินราว 1.4 – 1.5 แสนล้านบาท ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายในเดือน ก.ย.67 คาดหมายว่าจะเป็นผลดีต่อ หุ้นในกลุ่มค้าปลีกเช่น CPALL (BK:CPALL), CPAXT, BJC รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง เช่น ICHI,OSP, CBG เป็นต้น อีกเรื่องหนึ่งได้แก่ การเดินหน้า กองทุนวายุภักษ์ ซึ่งคาดหมายว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาประมาณ 1 –1.5 แสน ล้านบาท เป็นผลดีต่อภาพรวมของตลาดโดยทำให้ TURNOVER และ PERFORMANCE ราคาหุ้น MARKCT CAP. กลาง-ใหญ่ดีขึ้น ในระยะสั้นช่วงรอมาตรการจากรัฐบาลใหม่ SET INDEX อาจเคลื่อนไหว ในกรอบแคบช่วง 1348 – 1360 จุด หลังจากนั้นน่าจะขยับตัวสูงขึ้น หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก CPALL, GPSC และ SPRC
FED ยังมีกระสุนลดดอกเบี้ย ลดแรงกระแทก HARD LANDING BOND YIELD สหรัฐฯ อายุ 2 ปี ที่ชะลอตัวลงมาอย่างรวดเร็ว -7.8%YTD สวนทาง กับอายุ 10 ปี +0.63%YTD ส่งผลให้ล่าสุดผลต่างของ BOND YIELD ระยะยาวลบ ออกด้วยระยะสั้นเท่ากับศูนย์ หรือไม่เกิดภาวะ INVERTED YIELD CURVE แล้ว ขณะที่สถิติในอดีตหลังจากช่วงที่เกิด INVERTED YIELD CURVE มักจะตามมาด้วย เศรษฐกิจซบเซา (RECESSION / HARD LANDING) หรือ เศรษฐกิจเติบโตช้าลง (SOFT LANDING) ในสหรัฐฯ
นับตั้งแต่ช่วงปี 1957 – ปัจจุบัน สหรัฐฯ เคยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมาแล้ว 13 ครั้ง โดย 10 ครั้ง เป็นแบบ HARD LANDING หรือเกิด RECESSION ส่วนอีก 3 ครั้ง FED ประสบความสำเร็จในการทำ SOFT LANDING หลังใช้นโยบายการเงินเข้มงวดปี 1984 1994 และ 2018 หนุนให้ผลตอบแทน DOW JONES ในช่วงนั้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9% โดยมี SECTOR เด่น CONMAT, FIN, FOOD, PKG, PF&REIT, COMM
ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน ดอกเบี้ยสหรัฐฯ อยู่ในระดับ 5.5% สูงสุดในรอบ 23 ปี ทำ ให้ FED ยังมีกกระสุนอีกมากในปรับลดดอกเบี้ย เพื่อลดแรงกระแทกต่อการเกิด HARD LANDING ทั้งนี้ นักลงทุนจำเป็นต้องติดตาม 4 สัญญาณชี้วัดเศรษฐกิจ RECESSION ในสหรัฐฯ (เกณฑ์ของ NBER) อย่างใกล้ชิด ได้แก่ ภาคการผลิต อุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก ตลาดแรงาน และการใช้จ่ายส่วนบุคคล ทั้งนี้หากปัจจัย เหล่านี้เข้าสู่ภาวะหดตัวพร้อมๆ กัน (GROWTH
ครม.ชุดใหม่เสร็จสิ้น เตรียมทูลเกล้า 4 ก.ย.67 พร้อมสานต่อ นโยบายกระตุ้น วันนี้ ถึง 5 ก.ย.67 รัฐสภาจะมีโหวตงบประมาณประจำปี 68 วาระ 2-3 ซึ่งพรรคเพื่อไทย มั่นใจว่าโหวตผ่าน โดยคาดการณ์เสียงสนับสนุนไม่น่าจะต่ำกว่า 320 เสียง(ตามคะแนน เสียงพรรคร่วมรัฐบาล) ซึ่งจะทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะถัดไปเดินหน้าต่อไปได้ ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย ได้แถลงความคืบหน้า ในการจัดตั้ง ครม.ชุดใหม่ ว่าได้มีการจัดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว พร้อมเตรียมรัฐมนตรีขึ้น ทูลเกล้าฯในวันที่ 4 ก.ย.67(พรุ่งนี้) ตามด้วยพิธีการต่างๆ คือ การรอโปรดเกล้าฯ ลง มา การถวายสัตย์ปฏิญาณ และสุดท้ายจะมีการเรียกประชุมครม.ใหม่นัดแรก เพื่อขอ มตินโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภา คาดว่าจะอยู่ในช่วงวันที่11-13 ก.ย.67 ซึ่งต้องติดตามว่า ครม.ชุดใหม่จะมีใครบ้างเป็นไปตามที่ตลาดคาดหรือไม่ และนโยบาย ที่จะเสนอต่อรัฐสภามีนโยบายอะไรบ้าง ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง นโยบายหลักไปจากเดิมมากนัก และน่าจะเห็นช่วงเวลาของการดำเนินการนโยบาย ต่างๆคล้ายเดิมตามการโหวตงบประมาณประจำปี 68 วาระ 2-3 ที่น่าจะผ่านมติได้ไม่ ยากนัก โดยนโยบายที่คาดว่าจะออกมา และเกี่ยวข้องกับตลาดทุนโดยตรง คือ
1) การศึกษาแผนการขยายกองทุนวายุภักษ์ เพื่อใช้เป็น TREASURY STOCK สำหรับ หุ้นใน SET50-SET100 เพื่อเป็นอาวุธในการลดความผันผวนของ SET INDEX ส่วน หุ้นที่คาดได้ประโยชน์ (ในหัวข้อถัดไป)
2) การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยการขยายความจุสนามบินสุวรรณ ภูมิ และการสร้าง ENTERTAINMENT COMPLEX ครบวงจร ที่ล่าสุดทางราช ตฤณมัยสมาคมฯ พร้อมทุ่ม 2 แสนล้านบาทหนุนโครงการดังกล่าว ภายใต้ชื่อ “THE ROYAL SIAM HAVEN” ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ AWC CENTEL MINT ERW CPN AOT (BK:AOT)
3) การปรับเปลี่ยนนโยบาย DIGITAL WALLET โดยเสนอปรับ แจกเงินสดแก่กลุ่ม เปราะบาง-ผู้พิการก่อน 1 หมื่นบาท/ราย ด้วยงบกลางและงบฯ ปี 67 รวมแล้วประมาณ 1.45 แสนลบ.(ภายใน ก.ย.67) หลังจากนั้นใช้งบฯ ปี 68 แจกเงิน DIGITAL แก่ผู้ ลงทะเบียน 30 ล้านคนไม่ซ้ำกับกลุ่มแรก และต่อยอดระบบเพื่อโครงการในอนาคต ส่วน หุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ MTC BAM TIDLOR TU TFG GFPT CPALL CPAXT BJC สรุป ความกังวล POLITICAL UNCERTAINTY ในบ้านเราดูผ่อนคลายลง ขณะที่ ครม.ชุดใหม่ เตรียมทูลเกล้า 4 ก.ย.67 และเตรียม แถลงนโยบายครั้งแรกต่อรัฐสภา ในช่วงวันที่ 11-13 ก.ย.67 ทำให้นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้ต่อเนื่อง มองเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อ SET INDEX
คัด 10 หุ้น คาดหวังเม็ดเงินใหม่หนุนทั้งจากกองทุน ESG ใหม่ และวายุภักษ์ใหม่ ในปีนี้ สถาบันฯ ยังซื้อสุทธิหุ้นไทยน้อยอยู่เพียง 4.1 พันล้านบาท (YTD) แต่ช่วงที่เหลือ ของปี มีโอกาสเห็นสถาบันฯ ซื้อหุ้นไทยเพิ่ม จาก 2 ส่วน ดังนี้
1. จากกองทุน ESG ใหม่ ที่เริ่มต้นตั้งแต่ 16 ส.ค. 67 ก็เห็นเม็ดเงินสถาบันฯ สลับ เข้ามาเพิ่มเติมถึงปัจจุบัน 3.4 พันล้านบาท และเชื่อว่าเม็ดเงินน่าจะทยอยเข้า ต่ออีก 2 –3 หมื่นล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปี
2. จากกองทุนวายุภักษ์ใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 1 – 2 เดือนนี้ และคาดหวัง เม็ดเงินหนุนตลาดหุ้นไทยราวราว 1 –1.5 แสนล้านบาท
แนะนำเก็งกำไรหุ้น 10 บริษัท คาดหวังเม็ดเงินใหม่หนุนทั้งจากกองทุน ESG ใหม่ และ วายุภักษ์ใหม่ โดยคัดกรองจากหุ้นที่วายุภักษ์ถือเยอะ และมี ESG RATING “AAA” ประโยชน์จาก 2 ประเด็น คือ PTT (BK:PTT), BCP, KTB, ADVANC, SCC, KBANK (BK:KBANK), CRC, CPF, SCGP, OR
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities