Economic Highlight
ควรรอติดตามถ้อยแถลงจากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อ CPI ฝั่งยูโรโซน เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด และ ECB ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนจาก รายงานผลประกอบการของ Nvidia
**ราคาทองคำ = Spot Gold price (XAUUSD)
FX Highlight
- สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลังถ้อยแถลงของประธานเฟดล่าสุด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนและเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยราว -100bps ในปีนี้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ
- แม้ว่าเงินบาทจะแกว่งตัว sideways ตามที่เราประเมินไว้ตลอดเกือบทั้งสัปดาห์ แต่เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นหนักจนหลุดระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงคืนวันศุกร์ หลังผู้เล่นในตลาดรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด
- อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมานั้น อาจชะลอลงบ้าง หลังระดับเงินบาท ณ ปัจจุบันได้รับรู้ปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าไปมากแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
- เราคงมองต่างจากผู้เล่นในตลาดว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยเพียง -75bps ในปีนี้ เนื่องจากภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตลาดแรงงานยังไม่ได้ชะลอตัวลงหนักและสะท้อนถึงความจำเป็นที่เฟดต้องลดดอกเบี้ย -100bps ในปีนี้ (ตลาดมองว่า ทุกๆ การประชุมของเฟดที่เหลือในปีนี้ เฟดมีโอกาสเกือบ 40% ที่จะลดดอกเบี้ย -50bps)
- เนื่องจากเฟดให้ความสำคัญต่อเป้าหมายด้านการจ้างงานมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากถ้อยแถลงของประธานเฟดล่าสุด ทำให้เรามองว่า รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ เดือนสิงหาคม ที่จะรับรู้ในช่วงวันที่ 6 กันยายน นี้ จะเป็นข้อมูลกำหนดอัตราการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกันยายน
- และแม้ว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด จะทยอยประกาศในวันที่ 6 กันยายน ผู้เล่นในตลาดก็จะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้ รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อื่นๆ เช่น ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และอัตราเงินเฟ้อ PCE
- นอกจากแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ เรามองว่า ควรจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซน อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB และกระทบต่อทิศทางเงินยูโร (EUR) ได้
- อนึ่ง สถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสก็อาจกระทบต่อทิศทางเงินยูโรได้เช่นกัน โดยหากการเมืองฝรั่งเศสยังมีความไม่แน่นอนอยู่ (ยังหาข้อสรุปในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่และจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากไม่ได้) อาจกดดันให้เงินยูโรอ่อนค่าลงได้บ้าง
- ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่ควรจับตานั้น เรายังคงมองว่า โฟลว์ธุรกรรมสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง ทองคำ ได้ส่งผลต่อทิศทางเงินบาทพอสมควร นอกจากนี้ ควรติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน รวมถึงทิศทางราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบได้
- พร้อมกันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของ Nvidia ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางของหุ้นธีม AI/Semiconductor และบรรยากาศในตลาดการเงินได้
- สัญญาณจาก RSI MACD และ Stochastic ใน Time Frame รายวัน สำหรับ USDTHB ยังคงสะท้อนว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทยังคงอยู่ ทว่า RSI ได้เข้าสู่โซน Oversold และมีโอกาสเกิด RSI Bullish Divergence ทำให้เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอลงบ้าง และเงินบาทอาจมีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ sideways ได้
- ส่วนสัญญาณจาก Time Frame H1 และ H4 ทั้ง RSI และ MACD สะท้อนภาพเงินบาทยังมีโมเมนตัมฝั่งแข็งค่าอยู่ ไม่ต่างกับ Time Frame Daily อย่างไรก็ดี ในส่วนของ Time Frame H1 นั้น Stochastic และ RSI Oversold สะท้อนว่า เงินบาทเริ่มมีโอกาสที่จะผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง
- โดยรวมเราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม และยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง หรือ แกว่งตัว Sideways Up โดยมีโซนแนวต้านแรกแถว 34.00-34.10 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซนแนวต้านถัดไปในช่วง 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนโซนแนวรับนั้น หลังเงินบาทได้แข็งค่าหลุดโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ จะมีโซน 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับแรก (และยังเป็นระดับที่เรามองว่า Fairly Valued สำหรับเงินบาท ณ ปัจจุบัน) และหากเงินบาทยังแข็งค่าต่อได้ ก็อาจติดโซนแนวรับสำคัญ 33.50 บาทต่อดอลลาร์
Gold Highlight
- ราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบ sideways ตามที่เราประเมินไว้ในสัปดาห์ก่อนหน้า โดยราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยราว -100bps ในปีนี้ และอาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม -125bps ในปีหน้า
- อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า ควรระวังแรงขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ ทว่า ปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำกลับไม่ได้มีชัดเจนนัก
- โดยในส่วนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ก็อาจกลับมากดดันราคาทองคำได้ หากผู้เล่นในตลาดคลายกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม ในทางกลับกัน หากสถานการณ์ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมากขึ้นได้จริง อย่างที่เรากังวลนั้น ก็อาจหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้
- ส่วนประเด็นแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดนั้น เรามองว่า ราคาทองคำแถวโซน 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้รับรู้มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดไปมากแล้ว ทำให้ราคาทองคำเสี่ยงปรับตัวลง หากผู้เล่นในตลาดลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
- ในเชิงเทคนิคัล สัญญาณจาก RSI Stochastic และ MACD Time Frame รายวัน ชี้ว่า ราคาทองคำยังมีโมเมนตัมขาขึ้นอยู่ อย่างไรก็ดี RSI เริ่มแกว่งตัว sideways สะท้อนว่า โมเมนตัมขาขึ้นของราคาทองคำอาจชะลอลงบ้าง
- ส่วนในภาพTime Frame H4 และ H1 สัญญาณจากทั้ง RSI Stochastic และ MACD ยังคงสะท้อนถึงโมเมนตัมขาขึ้นของราคาทองคำที่ยังคงมีอยู่ ไม่ต่างกับภาพใน Time Frame รายวัน ทว่า RSI เริ่มเข้าใกล้โซน Overbought
- โดยรวม เรามองว่า ราคาทองคำอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways โดยมีโซนแนวต้านแถวจุดสูงสุดของปีนี้ หรือโซน 2,530 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่โซนแนวรับจะอยู่ในช่วง 2,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นแนวรับแรก โดยมีโซน 2,460 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นแนวรับถัดไป