แม้จะขยายระยะเวลาซื้อขาย จาก 270 นาที/วัน เป็น 300 นาที/วัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ มูลค่าการซื้อขายปรับสูงขึ้น ภาวะดังกล่าวสะท้อนว่าตลาดหุ้นอยู่ในภาวะที่ขาด แรงขับเคลื่อน และหากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ ก็ยังอยู่ใน สภาวะที่ไม่แตกต่าง โดยวันนี้จะมีการประกาศตัวเลขการส่งออก - นำเข้า ซึ่ง คาดหมายว่าจะเห็นการส่งออกเติบโต 4.35% YOY ส่วนเรื่องความคืบหน้า DIGITAL WALLET แม้เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น เบื้องต้นคาดเปิดให้ร้านค้า ลงทะเบียนในงวด 3Q67และเติมเงินเข้าสู่ DIGITAL WALLET ใน 4Q67แต่ก็ต้อง รอดูแหล่งเงินทุน ซึ่งจะเป็นตัวที่ยืนยันความเป็นไปได้ของโครงการ ทั้งนี้หาก พิจารณาจากกรอบเวลาก็เป็นไปได้ที่จะเห็นการใช้เงินบางส่วนจากงบประมาณปี 2568 สำหรับปัจจัยในต่างประเทศจุดสนใจอยู่ที่ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งทวี ความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น
สภาพแวดล้อมที่ไม่มีปัจจัยขับเคลื่อนใหม่ๆ คาดว่าจะทำให้มูลค่าการซื้อขายยังคง เบาบาง และ SET INDEX อยู่ในภาวะผันผวน วันนี้ประเมินกรอบ 1368 – 1383 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก PTT (BK:PTT), TASCO และ WHA
ความตึงเครียดตะวันออกกลาง หนุนน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อ
วานนี้ ราคาน้ำมันดิบ BRENTและ WTI ปรับตัวขึ้น 1.5% และ1.4% ตามลำดับ หลัง ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในฝั่งของตะวันออกกลางยังคงตึงเครียด โดยรัสเซียถล่ม ขีปนาวุธใส่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในแคว้นลวีฟทางตะวันตกของยูเครน ซึ่ง เป็นการตอบโต้ที่ทางยูเครนใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียหลายครั้งในเดือน นี้ ส่งผลให้การกลั่นน้ำมันในรัสเซียลดลงราว 7% ของกำลังการกลั่นในประเทศ
อีกทั้งสำนักข่าว ROUTERS รายงานว่าทางรัฐบาลรัสเซียได้สั่งให้บริษัทต่าง ๆ ปรับ ลดการผลิตน้ำมันในไตรมาส 2 ปีนี้ เพื่อให้รัสเซียสามารถบรรลุเป้าหมายการผลิตที่ ระดับ 9 ล้านบาร์เรล/วันภายในสิ้นเดือนมิ.ย.67 ตามคำมั่นสัญญาที่รัสเซียให้ไว้กับ กลุ่ม OPEC+ ด้วยประเด็นดังกล่าวทำให้ SUPPLY น้ำมันดิบมีโอกาสชะลอตัวลงใน อนาคต และหนุนให้ราคาน้ำมันดิบทรงตัวในระดับนี้ต่อไป จึงคาดสร้าง SENTIMENT เชิงบวกเล็กน้อยต่อ SET INDEX ในวันนี้ และหนุนหุ้นกลุ่มโรงกลั่นอย่าง PTT PTTEP TOP SPRC ให้ OUTPERFORM SET INDEX ได้
สรุป ปัจจัยภายนอกที่ล้วนแต่หนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อ จากความกังวล SUPPLY ชะลอตัว คาดหนุนให้ SET INDEX วันนี้แกว่งทรงตัวในขาขึ้นได้เล็กน้อย โดย คาดกรอบการเคลื่อนไหวไว้ที่ระดับ 1368 -1383 จุด ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ PTT, PTTEP, TOP, SPRC
เครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยเดินหน้า ถือเป็นยาช่วยหนุน SET
SET INDEX มีโอกาสผันผวนน้อยลง และแข็งแกร่งกว่าตลาดฯหุ้นอื่นๆ ท่ามกลาง เศรษฐกิจไทยที่กำลังอยู่ในภาวะของการกระตุ้น ขณะที่พัฒนาการของนโยบายการ คลังที่ทยอยเดินหน้า เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
• โครงการ DIGITAL WALLET จะมีการรายงานความคืบหน้า รวมถึงเสนอ แนวทางการขับเคลื่อนนโยบายในวันที่ 27 มี.ค. 67 ก่อนที่จะสรุปรายละเอียด ทั้งหมดในวันที่ 10 เม.ย. 67 และเสนอให้กับ ครม. พิจารณาในช่งปลายเดือน ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันว่าประชาชนจะได้รับเงิน 10,000 บาท ภายในสิ้นปีนี้อย่าง แน่นอน (คาดการณ์ว่าจะเป็นช่วง 4Q67)
• FDI ของไทย มีแนวโน้มสูงขึ้น หลังรับบาลได้ทำการติดต่อกับบริษัทข้ามชาติ หลายบริษัทให้เข้ามาลงทุนในไทย โดยในวันนี้ (26 มี.ค. 67) เวลา 11.30 น. ทาง BOI จะมีการแถลงรายละเอียดความก้าวหน้าของการเดินทางไป ต่างประเทศ นำนักลงทุนมายกระดับอุตสาหกรรมไทยที่เป็นอุตสาหกรรม LOW PROFIT ให้เป็น HIGH PROFIT ทำให้รายได้ระยะยาวของประชาชนถูก ยกระดับขึ้นมา
• ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท รอบ 2 ใน 10 จังหวัดท่องเที่ยว ได้แก่ กทม. ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ สงขลา พังงา ประจวบคีรีขันธ์ และระยอง ซึ่งไตรภาคีจะมีการนัดถกกันในวันนี้ (26 มี.ค. 67) ทั้งนี้ หากที่ประชุมมีมติ เห็นชอบ จะเตรียมเสนอต่อที่ประชุม ครม. วันที่ 2 หรือ 9 เม.ย. 67 จากนั้นจึง ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา แลมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย.นี้เพื่อ เป็นของขวัญวันปีใหม่ไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ถือเป็นแรงกระตุ้นให้การ จับจ่ายใช้สอยของประชาชนมีแนวโน้มดีขึ้นได้ในระยะถัดไป
• ค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 67 แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า คาดว่า ค่า FT มีโอกาสตรึงไว้ที่ระดับเดิม คือ 4.18 บาท/หน่วย ซึ่งบอร์ด กกพ. จะมีการประชุมในวันที่ 27 มี.ค. นี้ โดยหาเป็นไปตามคาดการณ์ ถือเป็น บวกต่อภาคประชาชนที่ไม่ได้แบกรับภาระค่าไฟที่เพิ่มขึ้น หนุนให้กำลังซื้อไม่ ลดลง
สรุป นโยบายการคลังที่ทยอยเดินหน้า เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โครงการ DIGITAL WALLET , FDI ของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น, การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ใน 10 จังหวัดท่องเที่ยว, และค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 67 โอกาสตรึงไว้ที่ ระดับเดิม คือ 4.18 บาท/หน่วย ประเด็นเหล่านี้ถือเป็นบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง อาทิ ค้า ปลีก BJC, CRC, CPALL (BK:CPALL), นิคมฯ WHA, AMATA, โรงไฟฟ้า BGRIM GLUF
มูลค่าซื้อขายน้อย แต่ยังมีบางกลุ่มหุ้นที่ได้รับความสนใจ
มูลค่าซื้อขายตลาดหุ้นไทยปีนี้ 2024YTD ยังเบาบางเฉลี่ย 4.4 หมื่นล้านบาท/วัน ลดลงจากปี 2023 -12.8% และลดลงจากปี 2021 ถึง -49.8% ขณะที่มูลค่าตลาดยัง ทรงๆ ตัวที่ 17 ล้านล้านบาท ทำให้ SET INDEX ยังขาดแรงผลักให้ขยับขึ้นไปได้โดย ปกติ SET ต้องมีมูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้น และต้องมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท จึงจะมีโอกาส ให้ผลตอบแทนเป็นบวก เช่นเดียวกับหุ้นและ SECTOR ต่าง ถ้ามูลค่าซื้อขายคึกคักขึ้น ก็มีโอกาส OUTPERFORM ตลาดได้
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหา กลุ่มหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจซื้อขายมากขึ้นในปี นี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยดูจากมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยปี ที่แล้ว คือ กลุ่ม HOME มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยปีนี้เพิ่มขึ้น 53% จากปีที่แล้ว ตามมาด้วย AGRI 50%, TOURISM 21%, PERSON 17%, TRANS 8%, MEDIA 5% เป็นต้น และส่วนใหญ่ยังให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกและชนะตลาด รวมถึงกลุ่มที่มีมูลค่าซื้อขาย สูงกว่าตลาด อย่าง CONMAT -4%, CONS -4%, PROP -5%, HELTH -5%, PF&REIT -10% ขณะที่ SET INDEX มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยปีนี้ลดลง 12.8%
ระยะสั้นแนะนำเก็งกำไรหุ้นที่ได้รับความสนใจมากกว่าตลาดในกลุ่มดังกล่าว หวังยังมี แรงผลักดันให้ OUTPERFORM ตลาดอยู่ โดยฝ่ายวิจัยชื่นชอบ STA, NER, CENTEL, BEM, SAV, SJWD, MAJOR, SCCC, TASCO, CK, STEC, WHA, LH ฯลฯ
ส่วน TOP PICK วันนี้เลือก TASCO, WHA และหุ้นได้ประโยชน์ราคาน้ำมันขึ้น PTT
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities