สศช. แถลงภาวะสังคม 3Q66 พบว่าตัวเลขหนี้ครัวเรือนปรับขึ้นไปที่ 16.2 ล้าน ล้านบาท คิดเป็น 90.9% ของ GDP ขณะที่คุณภาพสินเชื่อด้อยลงทุกประเภท สินเชื่อ บ่งชี้ถึงความเสี่ยงของการบริโภคภาคครัวเรือน (CONSUMPOTION) ที่ อาจชะลอตัวลงในอนาคต และด้วยสถานะดังกล่าว เราเชื่อว่าน่าจะทำให้เห็น มาตรการกระตุ้นออกมาจากภาครัฐ หลังจากที่งบประมาณปี 2567 สามารถ เบิกจ่ายได้ในช่งครึ่งหลังของเดือน เม.ย. 67 ทำให้รัฐบาลสามารถใช้เม็ดเงินผ่าน มาตรการการคลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม ในอีกมุมหนึ่งก็มี โอกาสที่จะเห็นแรงกระตุ้นผ่านมาตการการเงินอีกส่วนหนึ่ง โดยแรงผลักดันน่าจะ มาจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.พ.67 ที่จะประกาศในเช้าวันนี้ โดยคาดว่าจะ -0.8% YOY หากเห็นแรงกระตุ้นจากทั้ง 2 ส่วนออกมาในช่วงเดือน เม.ย.67 ก็น่าจะทำให้ ตลาดหุ้นตอบสนองในเชิงบวกได้ แต่อย่างไรก็ตามระยะสั้นยังคงต้องอดทนรอ
แรงขับเคลื่อนจากปัจจัยพื้นฐานยังไม่ชัดเจน โดยอาจต้องรอมาตรการต่างๆ ออกมากระตุ้นในช่วงเดือน เม.ย. ส่วนวันนี้ประเมินว่า SET INDEX น่าจะอยู่ใน กรอบ 1360 –1373 จุด หุ้น TOP PICK เลือก ADVANC, PTTGC และTASCO
ตลาดหุ้นสหรัฐฯเริ่มผันผวน ส่วนไทยรอลุ้นตัวเลข CPI เช้านี
ืนที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงทุกดัชนีในช่วงติดลบ 0.1% ถึง 0.41% ซึ่ง สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากที่นักลงทุนรอถ้อยคำแถลงของประธาน FED ในงานประชุม สภาคองเกรสสหรัฐในวันพุธ และ พฤหัสฯนี้โดยนักวิเคราะห์คาดว่า ประธาน FED จะ ยังคงรอดูข้อมูลเศรษฐกิจต่างๆ ก่อนการกำหนดนโยบายการเงินในระยะถัดไป หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนกรอบเวลาการปรับลด ดอกเบี้ย ในมุมมองของFED WATCH TOOL คาด FED มีโอกาสสูงถึง 97%และ 78% ที่จะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.5% ในการประชุมรอบเดือน มี.ค.67 และ พ.ค.67 ตามลำดับ และมีความน่าจะเป็นเกินครึ่ง(53%) ที่อาจเห็นการปรับลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.67
ส่วนตลาดหุ้นไทย วานนี้ปรับตัวลง 4.85 จุดปิดที่ระดับ 1362.57 จุดจากความผิดหวัง เรื่องกำไรบริษัทจดทะเบียน 4Q66 ที่ออกมาต่ำคาด ซึ่งเช้านี้นักลงทุนรอการประกาศ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.พ.67 ที่ตลาดคาดไว้ที่ -0.8%YOY(ติดลบ YOY เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน) ซึ่งอาจสะท้อนได้ว่าเศรษฐกิจไทยเสี่ยงซบเซา และต้องการแรงกระตุ้นจาก นโยบายการคลัง และการเงิน ดังนั้นนี่อาจเป็นหนึ่งสิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นให้ กนง.ใช้ นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายในระยะถัดไป
ซึ่งหากพิจารณาในมุมของหุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาลงอย่าง หุ้น กลุ่ม FIN จะเห็นได้ว่าช่วงการเริ่มต้นลดดอกเบี้ย มักจะเป็นจุดเริ่มต้นการขึ้นรอบใหญ่ ของหุ้นกลุ่ม FIN เสมอ ดังนั้นนี่อาจเป็นจังหวะหาโอกาสเข้าเก็งกำไร KTC, AEONTS, TIDLOR, MTC, SAWAD ได้
โดยสรุปภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯที่เริ่มผันผวน เนื่องจากรอการกำหนดนโยบาย ทางการเงินระยะถัดไปของประธาน FED ส่วนไทยรอตัวเลขเงินเฟ้อเช้านี้ ซึ่งหากตัวเลข ออกมาตามคาด นั้นจะเป็นจุดบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยเสี่ยงซบเซา และอาจเป็นหนึ่งสิ่งที่ เป็นแรงกระตุ้นให้ กนง.ใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายในระยะถัดไป ซึ่งหุ้นที่คาด ได้ประโยชน์ในภาวะดอกเบี้ยขาลง คือ หุ้นกลุ่ม FIN ซึ่งฝ่ายวิจัยฯชื่นชอบ MTC TIDLOR มากสุดในกลุ่มฯ
รอแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ เรียกความเชื่อมั่นกลับมา
การกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในช่วงปีที่ผ่านมา ถือแม้จะมีการอัดฉีดผ่านนโยบานการเงิน มากขึ้น (กราฟแท่งสีส้ม) แต่กระตุ้นผ่านนโยบานการคลังยังดูไม่หวือหวา โดยสัดส่วน งบประมาณขาดดุลต่อ GDP สูงกว่าเป้าหมายที่ 3% (กราฟแท่งสีเทา) จึงเป็นอีกหนึ่ง ปัจจัยกดดันให้เศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่เต็มที่ นอกจากกนี้ยังส่งผลให้ดัชนี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของจีนอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19
ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวได้ อาจสะท้อนถึงความจำเป็นมาตรกระตุ้นให้มากขึ้น ในระยะข้างหน้า เพื่อหนุนให้ GDP GROWTH บรรลุเป้าหมาย ซึ่งในการประชุมสอง สภาประจำปี 2567 ได้เริ่มตั้งแต่ 4 – 11 มี.ค. ขณะที่ช่วงเช้าวันนี้จะเป็นการเริ่มประชุม สภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) โดยน่าจะมีการประกาศทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศในปีหน้า ทั้งนี้ BLOOMBERG ได้คาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนจะกำหนด กรอบการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้ไว้ราว 5% เท่ากับปีก่อน
ในส่วนของภาพรวมเศรษฐกิจนบ้านเราที่ขยายตัวต่ำในช่วงที่ผ่านมา ยังสะท้อนถึง ปัญหาหนี้ครัวเรือน/GDP ที่อยู่ในระดับสูง โดยใน 3Q66 มีสัดส่วนราว 90.9% ซึ่งหนี้ จำนำทะเบียนรถยอดพุ่ง 40.2% เป็นหนี้กู้ง่ายดอกเบี้ยสูง บ่งชี้ครัวเรือนขาดสภาพ คล่อง อีกทั้งหนี้ NPL ใน 3Q66 ยังขยายตัวสูงถึง 7.9% หากมองไปข้างหน้าทำให้มี ความคาดหวังว่าภาครัฐจะเร่งแก้ปัญหา รวมถึงการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มเติม ขณะที่งบประมาณปี 67 ที่ให้เร่งให้เร็วขึ้นในเดือน เม.ย. น่าจะเรียกความ เชื่อมั่นนักลงทุนให้กลับมาได้บ้าง
หวังแรงกดจาก FUND FLOW จะเบาลง
ช่วงโค้งสุดท้ายของการรายงานงบ 4Q66 (23 ก.พ. – 1 มี.ค.) ต่างชาติขายสุทธิหุ้น ไทย 8.6 พันล้านบาท พร้อมกับชอร์ตสุทธิ SET50 FUTURES สูงถึง 9.6 หมื่น สัญญา กดดันให้ SET INDEX ที่เคยอยู่เหนือ 1400 จุด ย่อลงมาเรื่อยๆ อยู่ที่ 1367 จุด
อย่างไรก็ตามหลังจากการรายงานงบ 4Q66 เสร็จสิ้น วานนี้เริ่มเห็นการกลับมาซื้อ สุทธิ SET50 FUTURES ด้วยปริมาณที่สูงถึง 2.8 หมื่นสัญญา และแรงขายหุ้นที่เบา ลง -583 ล้านบาท
แรงกดดันจากนักลงทุนต่างชาติน่าจะค่อยๆ เบาลงหลังผ่านมรสุมมามาก และ คาดหวัง FUND FLOW จะค่อยๆ ทยอยกลับมาซื้อหุ้นไทยในระยะถัดไป หากแนวโน้ม นโยบายการเงินและการคลังทยอยออกมาในเดือน เม.ย. 67 ชัดขึ้น รวมถึงการสร้าง เสถียรภาพให้ตลาดหลักทรัพย์จากทางการ รวมถึงการเพิ่มชั่วโมงซื้อขายตอนบ่าย ครึ่งชัวโมง ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 67 เป็นต้นไป
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities