คณะกรรมการ กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ตามคาด แต่ที่ น่าสนใจอยู่ที่กรรมการ 2 ท่าน จาก 7 ท่าน ลงมติเห็นว่าควรปรับลดอัตรา ดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ทั้งนี้จากสถิติพบว่า กรณีที่ กนง. มีการลงมติด้วย คะแนนเสียงไม่เป็นเอกฉันท์ ในการประชุมรอบถัดไปมักจะเห็นมติเปลี่ยนไปไปตาม เสียงส่วนน้อยครั้งก่อนหน้า ซึ่งในกรณีนี้ก็พอคาดหวังได้ว่าการประชุมรอบ 10 เม.ย.67 ก็มีลุ้นที่จะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง ทื้งนี้เหตุผลสนับสนุนอื่น ก็มีเรื่องเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด และเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มติดลบในงวด 1Q67 ส่วนความคืบหน้าของ Ditital Wallet วานนี้ ปปช. ได้แถลงข่าวโดยจะส่ง ข้อแนะน าในการด าเนินโครงการดังกล่าวให้กับรัฐบาล ซึ่งในส่วนของภาครัฐน า โดย รมว.คลังก็ส่งสัญญาณชัดเจนว่าต้องการเดินหน้าโครงการ โดยไม่ปรับลด วงเงิน ซึ่งสัปดาห์หน้าจะประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่
ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ดูยังไม่เห็นประเด็นที่จะขับเคลื่อน SET Index ไป ทางใดทางหนึ่ง คาดว่าน่าจะยังเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 1400 จุด ประเมินกรอบ 1390 –1407 จุดหุ้น Top Pickวันนี้ เลือก BJC, CPN และ JMART
กนง. คงดอกเบี้ย แต่เสียงแตก 5:2 แล้วหุ้นไทยไปทางไหน ?
กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.5% โดย 2 เสียง เห็นควรให้ลดอัตรา ดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ าลง จากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
ส าหรับแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยบ้านเราระยะถัดไป จะเป็นการปรับให้สอดคล้องกับ เสถียรภาพการการเติบโตเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยทาง กนง. จะน าข้อมูลช่วง 3 เดือนก่อนการประชุมฯ ครั้งที่ 2/2567 ในวันที่ 10 เม.ย. 67 มาพิจาณาร่วมด้วย ซึ่ง ประเด็นหลักๆ ที่ กนง. ให้ความส าคัญ อาทิ GDP, เงินเฟ้อ, หนี้ครัวเรือน รวมทั้งส่วน ต่างดอกเบี้ยไทย-สหรัฐฯ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผลการประชุม กนง. ที่ไม่เป็นเอกฉันฑ์เช่นนี้ ท าให้มีโอกาสเห็นการปรับ ลดดอกเบี้ยมากขึ้น โดยหากพิจารณาจากสถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 2562 ช่วงที่มติการ ประชุม กนง. เสียงแตก เกิดขึ้นมาแล้ว 8 ครั้ง ซึ่งใน 6 ครั้ง จะตามมาด้วยการเปลี่ยน ทิศทางนโยบายการเงินตามมติเสียงข้างน้อยในการประชุมครั้งถัดไป
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินประเด็นดังกล่าว เป็นบวกต่อตลาดการเงินในระยะสั้น จาก SET Index ช่วงบ่ายวานนี้ที่ยืนในแดนบวก รวมถึง Bond Yield ไทย เริ่มมีการย่อตัว สะท้อนมุมมองของนักลงทุนที่คาดหวังวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงก าลังเริ่มขึ้น ประกอบกับ การขับเคลื่อนนโยบายการเงินและการคลังที่สอดประสานกัน คาดว่าจะหนุนให้ Flow ต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นบ้านเรามากขึ้น
ตามกลไกทุกๆ ดอกเบี้ยที่ลดลง 25 bps. จะหนุนให้มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้น ราว 4-5 พันล้านบาท/วัน รวมถึง P/E เพิ่มขึ้น 0.74 เท่า หรือเป็นแรงผลักให้ Target SET Index ปรับตัวสูงขึ้นอีก 71-72 จุด
สรุป ผลการประชุม กนง. เสียงแตก 5:2 คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.5% ท าให้มี โอกาสเห็นการปรับลดดอกเบี้ยมากขึ้นในการประชุมระยะถัดไป ทั้งนี้ หาก กนง. ด าเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เชื่อว่าจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย
แนะน าหุ้นเด่นจุดเริ่มต้นดอกเบี้ยขาลง กลุ่ม Non-Bank : TIDLOR SAWAD MTC กลุ่มหุ้นปันผล : KKP TISCO AP และกลุ่มคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคัรฐ : CPAXT HMPRO JMART CRC BJC CPALL (BK:CPALL) AOT (BK:AOT)
มุมมองเศรษฐกิจไทยที่เปลี่ยนแปลงไปของ ธปท. และ กกร. คาดหวังมาตรการภาครัฐฯ พยุงเศรษฐกิจ
กนง. มีมุมของทางเศรษฐกิจที่แตกต่างออกไปจากครั้งก่อนหน้า โดยกนง. ปรับลด ประมาณการ GDP Growth ของไทยปี 2567 อยู่ที่ 2.5-3.0% (เดิมคาด 3.2-3.8%) จากอัตราเงินเฟ้อไทยทั่วไปที่ออกมาหดตัว 4 เดือนติดต่อกัน บวกกับปัจจัย โครงสร้างทางโครสร้างภายใน-ต่างประเทศ กดดันเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา ขยายตัวต่ ากว่าคาด จากการส่งออกสินค้าและการผลิตที่ฟื้นตัวช้า และค่าใช้จ่าย นักท่องเที่ยวต่อทริปต่ าผิดปกติ อีกทั้งการลงทุนภาครัฐที่ลดลงจากการเบิกจ่าย ล่าช้า
ขณะเดียวกัน กกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2567 ยังคงกรอบเดิม GDP ขยายตัวได้ 2.8-3.3% ซึ่งใกล้เคียงกับ ตัวเลขของ ธปท.ในเนื้อหาข้างต้น โดยให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้แต่ยังอ่อนแอ แม้ภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจ แต่ ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่อง ท าให้การฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติด ลบต่อเนื่อง เป็นสัญญาณความอ่อนแอของเศรษฐกิจในประเทศ และควรติดตาม อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยท าให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอ ตัวในระยะถัดไป
ดังนั้นภาพเศรษฐกิจที่ดูไม่สดใส ท าให้สิ่งที่เพิ่งพาได้ คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของ ภาครัฐฯ อย่าง DIgital wallet ที่มีความคืบหน้ามากขึ้น หลังวานนี้ ปปช. มี ข้อเสนอแนะ 8 ข้อไปยังรัฐบาล เพื่อให้น าไปประกอบการตัดสินใจในการป้องกันไม่ให้ เกิดการทุจริตหรือเกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน และแนะน าควร ใช้งบปกติทยอยจ่ายช่วยเฉพาะคนจน และจ่ายเป็นเงินบาทแทน ขณะที่ระยะถัดไปคงจะ เห็นความคืบหน้ามากขึ้นของนโยบายดังกล่าว ภายใต้การประชุม ครม.ครั้งถัดๆไป ซึ่ง หากนโนบายดังกล่าวเกิดขึ้นจริง คาดหนุนให้ GDP Growth ปีนี้โตขยับไปสู่ระดับ 3.8%-4.0% ขณะที่กลุ่มหุ้นหลักที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ คือ กลุ่ม COMM FOOD TOURISM โดยหุ้นในกลุ่มดังกล่าว ที่ฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ คือ CPAXT, HMPRO, JMART, BJC, CPALL, OSP, CBG, MINT, AOT เป็นต้น
สรุป ตัวเลข GDP Growth ปีนี้ที่ดูไม่สดใสเท่าที่ควร หนุนให้มีโอกาสสูงที่ กนง.จะใช้ นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายในอนาคต ขณะที่โครงการ Digital wallet มี สัญญาณที่ดีขึ้นเรื่อยๆ คาดหนุนให้ประเทศไทยดูดีในสายตาต่างชาติ และมีโอกาสให้ Flow ต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยระยะถัดไป และหนุนให้ SET Index สามารถ outperform ตลาดหุ้นอื่นๆได้ในระยะถัดไป โดยกรอบการเคลื่อนไหววันนี้อยู่ที่ 1390-1407 จุด
เศรษฐกิจไทยปี 67 มีแนวโน้มโตดีกว่าปี 66 แนะน าสะสมหุ้น พื้นฐานเด่น High Growth ผ่านเดือน ก.พ. มาได้ 1 สัปดาห์ SET Index ฟื้นตัวได้ดี36 จุด จาก 1364 จุด มาพัก ตัวบริเวณ 1400 จุด แต่ระยะถัดไปยังคาดหวัง SET Index ฟื้นตัวต่อไปที่บริเวณ 1420 จุดก่อน และถัดไปที่1450จุด ด้วยปัจจัยต่างๆดังนี้ ปัจจัยแวดล้อม -> การท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยที่คับคั่งขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน, วัฎ จักรดอกเบี้ยขาลงในไทยก าลังเริ่มขึ้น, การด าเนินนโยบายการเงินและการคลังที่เริ่ม สอคคล้องกัน ทั้ง 3 ส่วนหนุนเศรษฐกิจไทยมีโอกาสทยอยฟื้นตัว โดยทุกๆ ส านัก คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจปี 2567 เติบโตได้ดีกว่าปี 2566 อยู่ในกรอบ 2.5% - 4.4% Valuation -> ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันมีValuation ที่ถูกมาก โดยมี PE67F 14 เท่า และ PBV 1.34 เท่า ทั้ง 2 Ratio อยู่ในระดับ -2SD ในรอบ 10 ปีทั้งสิ้น Fund Flow ต่างชาติ -> ปัจจัยแวดล้อมเริ่มดีขึ้น, Valuation หุ้นไทยถูก, ปริมาณการ ขายของนักลงทุนต่างชาติ จากต้นทุนที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 2022 เริ่มจ ากัด คาดหวังFund Flow ต่างชาติมีการสลับเข้ามาซื้อต่อเนื่อง แนะน าทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี ESG Rating สูง ที่แนวโน้มก าไรปี 2567 เติบโตเด่น
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities