GDP Growth สหรัฐฯ งวด 4Q66 ออกมา 3.3% สูงกว่าความคาดหมายซึ่งทำไว้ ที่ 2% สะท้อนภาพความแข็งแรงของเศรษฐกิจ และช่วยลดความเสี่ยงต่อการที่จะ เกิด Recession ลงไปได้อีกระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามผลที่เกิดขึ้นกับการเดิน นโยบายการเงิน ก็น่าจะทำให้Fed พิจารณาคงดอกเบี้ยไว้ที่เพดาน 5.5% นานขึ้น เห็นได้ว่า Fed Watch tool แสดงถึงโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยเดือน มี.ค.67 ลดลง นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่จะเห็นการทำ QT ที่เร็วและแรงมากยิ่งขึ้น ในช่วง เวลาดังกล่าวน่าจะทำให้เกิดแรงกดดันต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งในมุมของตลาด หุ้นบ้านเรา ทำให้โอกาสที่จะเห็น Fund Flow กลับเข้ามาก็น่าจะช้าออกไปอีก สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามช่วงนี้ เป็นเรี่องความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์โดยล่าสุด NATO ประกาศซ้อมรบครั้งใหญ่ ส่วนในบ้านเราสัปดาห์หน้ารอการวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ กรณีพรรคก้าวไกล กับการแก้ไข ม.112
ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ยังไม่เห็นแรงบวกที่จะขับเคลื่อน SET Index เพิ่ม ขณะที่สัปดาห์หน้ารอดูผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คาดผันผวนใน กรอบ 1370 –1385 จุด หุ้น Top Pick เลือก AP, BEM และ MAJOR
เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งมากกว่าคาด
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าทำ All Time High ต่อเนื่อง โดยดีดตัวขึ้นราว 0.2% - 0.7% หลังภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐใน 4Q66 ค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่ที่ +3.3%QoQ ซึ่งขยายตัวสูงกว่าตลาดคาดที่ +2.0%QoQ มีแรงหนุนหลักๆ มาจาก ภาคการบริโภค (+1.9%) ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาดูดี ทำให้ความกังวล Recession คลายลง น่าจะช่วยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงได้ในระยะหนึ่ง
หากมองภาพในระยะยาว สิ่งที่ปรากฎตามมาอาจทำให้ Fed ตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูง นานขึ้น กดดันการปรับลดดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ โดย Fed Watch Tool ให้น้ำหนักล่าสุดอยู่ที่ 48% พร้อมกันนี้อาจทำให้ Fed ทำ QT เร็ว และแรงมากขึ้น เพื่อดึงเงินออกจากระบบเศรษฐกิจที่ร้อนแรง และลดขนาด Balance Sheet ที่พุ่งสูงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจเพิ่มระดับความกังวลให้กับตลาดการเงิน ขณะที่ผลลัพท์ที่ตามมามีโอกาสตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ไม่แรงมากนัก
สรุป เศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาดูดีช่วยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงสั้น แต่อย่างไรระยะยาวอาจตามมาด้วยการตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงนานขึ้น รวมถึงการ ทำ QT ที่เร็วและแรงมากขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มระดับความกังวลให้กับตลาดการเงิน ขณะที่ ผลลัพท์ที่ตามมามีโอกาสตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้จำกัด
ราคาน้ำมันยังคงดีดตัว หลังความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ
วานนี้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นมาแรง โดยราคาน้ำมันดิบ Brent บวกเกือบ 3% พุ่งทะลุ $82โดยมีแรงกระตุ้นจาก 2 ส่วนหลัก ได้แก
1. แรงหนุนจากฝั่ง Demand หลังภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐยังดูแข็งแกร่ง สะท้อน การบริโภคยังสดใส (รายละเอียดดังหัวข้อก่อนหน้า)
2. แรงกดดันจากฝั่ง Supply จากความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อยาวนาน และมีโอกาสทวีความรุแรงได้ทุกเมื่อ โดยล่าสุด NATO (North Atlantic Treaty Organization) เริ่มต้นการฝึกซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 35 ปี ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น เพื่อมุ่งเน้นการรับมือการโจมตีของรัสเซีย ซึ่งถือเป็น ภัยคุกคามที่สำคัญของ NATO
สรุป ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐยังดูดี รวมถึงแรงกดดันจากฝั่ง Supply จากความ เสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อยาวนาน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบที่ขยับตัวขึ้นในช่วงที่ ผ่านมา ซึ่งดีต่อหุ้นกลุ่มอิงราคาน้ำมันในบ้านเรา อาทิ PTTEP, PTTGC , IV
สแกนหา Sector ที่น่าสะสม แม้ต่างชาติยังขายหุ้นไทยต่อเนื่อง
ต่างชาติยังคงขายหุ้นไทยต่อเนื่องมา 15 วันติดต่อกัน หนุนยอดขายสุทธิสะสมขยับ มาอยู่ที่ -2.59 หมื่นล้านบาท (ytd) กดดันให้ SET Index ยังขาดแรงขับเคลื่อนหลัก
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการสแกนการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนเป็นราย Sector เพื่อ ค้นหาว่า Momentum การลงทุนในช่วงนี้เอนเอียงไปอยู่ในหุ้นกลุ่มไหน
พบว่า ยังมีกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจสะสมอยู่ 2 ส่วน คือ
1. หุ้นที่มี Momentum ขยับตัวขึ้นมาได้เด่นกว่ากลุ่มอื่นๆ ในช่วงนี้ คือ กลุ่ม CONS แนะนำ STEC, CK และกลุ่ม TOURISM แนะนำ MINT, ERW รวมถึง AOT (BK:AOT) ยังได้ Sentiment หนุนจากหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศจีนเยือนไทย 26-29 ม.ค.นี้ เตรียมลงนามยกเว้นวีซ่าระหว่างกันถาวร
2. หุ้นกลุ่ม Laggard น่าทยอยสะสม คือ กลุ่ม PETRO, PKG แนะนำ IVL, SCGP ราคาหุ้นย่อตัวลงมาลึก แต่คาดหวังการฟื้นกลับตามตลาดหุ้นจีนที่ เริ่มพลิกฟื้นกลับมาได้อย่างร้อนแรง +8% ใน 3 วันทำการ พร้อมกับการ กระตุ้นเศรษฐกิจจีนต่อเนื่อง
หุ้นท่องเที่ยวกลับมาน่าลงทุน ใครเด่นมากเด่นน้อย มาดูกัน หลายๆ ปัจจัยหนุนให้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ดังนี้
• ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 3 สัปดาห์แรก ของ ม.ค. 67 รวมกันที่ 2 ล้านคน หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 9.6 หมื่นคนต่อวัน เพิ่ม 9% จากค่าเฉลี่ย นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยรายวันงวด 4Q66 ที่ 8.8 หมื่นคนต่อวัน (รวม นักท่องเที่ยวมาไทยงวด 4Q66 ที่ 8.1 ล้านคน : +14% QoQ, +49% YoY) หากเทียบกับ Pre-COVID คิดเป็นการฟื้นตัวสู่ระดับ 80% จากค่าเฉลี่ย รายวันงวด 1Q62 ที่ 1.2 แสนคนต่อวัน
• งวด 1Q67 ภาคท่องเที่ยวไทยมีแรงหนุนจากฤดูกาลท่องเที่ยวไทย และ เทศกาลตรุษจีน วันที่ 10 ก.พ. 67 ซึ่งเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมออก เดินทางท่องเที่ยว
• ลุ้นปัจจัยสนับสนุนจาก วีซ่าฟรี ระหว่างจีนกับไทยในระยะถัดไป หลังหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศจีนเยือนไทย 26-29 ม.ค.นี้ ลงนามยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน ถาวร
โดยรวมฝ่ายวิจัยฯ คาดตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยปี 2567 ที่ 31.5 ล้านคน (+12% YoY) แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่รวมจีนที่ 27.5 ล้านคน (+12% YoY) และนักท่องเที่ยวจีนมาไทย 4 ล้านคน เติบโต 14% จาก ปี 2566 ที่ 3.5 ล้านคน (ระดับ ปกติปี 2561 –62 เฉลี่ย 11 ล้านคนต่อปี)
สำหรับแนวโน้มกำไรปกติหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวไทย อย่าง AOT, AWC (ไม่ได้จัดทำบท วิเคราะห์), CENTEL และ ERW งวด 4Q66 – 1Q67 เติบโตเป็นขั้นบันได QoQ หนุน ด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยข้างต้น ส่วน MINT มองว่า 4Q66 ยังเติบโต QoQ และ YoY หนุนด้วยโรงแรมไทย และแผนการชำระคืนหนี้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ย จ่าย ก่อนที่ 1Q จะเข้าสู่ Low Season ของ NH Hotel (สัดส่วนราว 50% ของรายได้ MINT) ใน EU
โดยฝ่ายวิจัยฯ เรียงลำดับหุ้นเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่โดดเด่นในช่วงนี้ จากมาก สุดไปน้อยสุดดังนี้
AOT(Outperform : FV@B80) ในฐานะประตูสู่ประเทศไทย รับประโยชน์ตามการฟื้น
ตัวของภาคท่องเที่ยว หนุนทิศทาง ROE ดีขึ้น
MINT(Outperform : FV@B35) จากแผนลดดอกเบี้ยจ่าย ผ่านการชำระคืนหนี้ เสริม
แกร่งงบดุลและการขยายตัวของกำไร อีกทั้ง NH Hotel ลุ้น Sentiment บวกจาก
Event อย่าง ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปวันที่ 14 มิ.ย. – 14 ก.ค. 67 ที่มีเยอรมนี
เป็นเจ้าภาพ และโอลิมปิกที่ปารีสวันที่ 26 ก.ค. –11 ส.ค. 67
ERW(Outperform : FV@B6.7) เพราะแผนการขยายโรงแรม Hop inn ที่มีมาร์จิ้นสูง
ทั้งในไทยและต่างประเทศ
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities