SET Index ปรับฐานลงมาแรงต่อเนื่อง จนทำให้ระดับ Valuation ของตลาดหุ้น บ้านเราอยู่ในเกณฑ์ที่ถูกมาก โดยที่ฝ่ายวิจัยทำ Sensitivities Analysis โดยการ กำหนดให้EPS ปี 2567 ปรับลดลงมาตั้งแต่ 1 – 8% และให้Market Earning Yield Gapวิ่งอยู่ในช่วง 3.3% -4.05% พบว่าในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ EPS ปี 2567 ปรับลดลงจากประมาณการปัจจุบัน 8% และกำหนดใช้Market Earning Yield Gap ที่ 4.05% (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ไม่เปลี่ยนแปลง) ยังให้ค่า SET Index ที่ 1405 จุด ซึ่งสูงกว่าระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตามด้วยระดับความ เชื่อมั่นของนักลงทุนที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ และ Fund Flow ยังไหลออก ทำให้ระยะสั้น การปรับตัวขึ้นยังเกิดขึ้นยาก กลยุทธ์ที่แนะนำจึงเป็นการ เลือกหุ้นคุณภาพดี ถือ ลงทุนระยะยาว และหากเป็นหุ้นที่ให้Dividend Yield ระดับสูง ก็น่าจะสร้างโอกาส สร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในอนาคต
แม้ Valuation ตลาดหุ้นบ้านเราจะถูก แต่ภายใต้ภาวะที่ขาดความเชื่อมั่น ทำให้ การปรับตัวขึ้นของ SET Indexในช่วงเวลานี้ยังยาก วันนี้กำหนดกรอบที่ 1350 – 1365 จุด หุ้น Top Pick เลือก AOT (BK:AOT), AP และ INTUCH
มุมมองภาพเศรษฐกิจไทยไม่มีเอกภาพ ทำ SET ผันผวน
วานนี้ IMFเผยผลการประชุมหารือ (Article IV Consultation) กับไทย ประจำปี 2566 โดยมีมุมองต่อเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมาอาจจะยังไม่ค่อยสดใส คาด GDP Growth ปี 66 อยู่ที่ +2.5%YoY ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากปี 65 ก่อนเร่งเครื่องพลิกกลับมา ขยายตัวแรงในปี 67 จากแรงหนุนหลักๆ ภาค Consumption รวมถึงผลพวงของการ กระตุ้นทางการคลังของรัฐบาล จึงมีการปรับคาดการณ์GDP Growthไทยปี 67 จาก +3.2% เป็นเพิ่มขึ้นเป็น +4.4%YoY ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ ธปท. ล่าสุด ที่ มองว่าเศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลงบ้าง แต่ในปัจจุบันไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติ โดย ประเมิน GDP Growth ของไทยปี 2566-67 อยู่ที่ +2.4%YoY และ +3.2%YoY ตามลำดับ
ในมุมมองหนึ่ง Bloomberg รายงานตัวเลขคาดการณ์ GDP Growth ไทยปี 66 และ ปี 67 อย่างไม่เป็นทางการ โดยอ้างอิงแหล่งข่าว แสดงตัวเลข GDP Growth ไทย โตเพียง 1.8%YoY ในปี 66 และ 2.8%YoY ในปี 67
ทั้งนี้ หากเป็นไปดังตัวเลขที่กล่าวอ้าง ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน GDP Growth ไทยทั้งปี 2566 +1.8% ชะลอตัวจากปีก่อนที่ 2.6% ถือว่าต่ำกว่า ธปท. คาดที่ 2.4% ซึ่ง สอดคล้องกับเงินเฟ้อไทยที่ติดลบ 3 เดือนติดต่อกัน (ต.ค.-ธ.ค. 66) อีกทั้งยังทำให้ GDP ใน 4Q66 ขยายน้อยสุดในรอบปีเพียง +1.4%YoY พร้อมกับเป็นไตรมาสอาจ ติดลบราว -1.3%QoQ กดดันให้เศรษฐกิจบ้านเราเสี่ยงต่อภาวะ Technical Recession (ถ้าติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน)
ภาวะดังกล่าวข้างต้นสะท้อนความเห็นระหว่างภาครัฐ (เศรษฐกิจไทยอาจชะลอตัว มากกว่าคาด) และสำนักเศรษฐกิจต่างๆ (เศรษฐกิจไทยยังดูดี) ที่มีมุมมองต่อการ ขยายตัวของเศรษฐกิจไทยค่อนข้างสวนทางกัน ทำให้ GDP Growrth ของไทยมี Gap ที่กว้างมากขึ้น ซึ่งอาจกดดัน SET Index ให้ผันผวนในช่วงสั้นๆ
GDP Growth ที่มี Downside เช่นเดียวกับประมาณการ EPS Growth ที่มีโอกาสเกิด Downside ขึ้นเช่นกัน สังเกตได้จาก Bloomberg Consensus ที่ปรับ EPS67F ลง จาก 101 เหลือ 97 บาท/หุ้น ดังนั้นหากพิจารณาที่ประมาณการของฝ่ายวิจัยฯ ที่ ระดับ 99.80 บาท/หุ้น หากมีการปรับประมาณการลง จะทำให้ดัชนีเป้าหมายปลายปี ปรับตัวลงตามตารางด้านล่าง อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า EPS ที่ปรับลดลงไม่ว่าจะ เป็น 1% ถึง 8% พร้อมกับซื้อขายบน MEYG ที่สูงกว่า 4.05% จะได้ Target SET ที่ ระดับเกิน 1400 จุดทั้งสิ้น ซึ่งหากเทียบกับดัชนีปัจจุบันแล้ว จะเห็นได้ว่ามี Upside อยู่ ดี
สรุป ความเห็นระหว่างภาครัฐ (เศรษฐกิจไทยอาจชะลอตัวมากกว่าคาด) และสำนัก เศรษฐกิจต่างๆ (เศรษฐกิจไทยยังดูดี) ที่มีมุมมองต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ค่อนข้างสวนทางกัน ทำให้ GDP Growrth ของไทยมี Gap ที่กว้างมากขึ้น ซึ่งอาจ กดดัน SET Index ให้ผันผวนในช่วงสั้นๆ แต่ในมุม Valuation SET Index ถือว่าถูก มาก แต่คงต้องรอเวลาที่เหมาะสมหนุนให้ดัชนีค่อยๆ ทยอยฟื้นขึ้นอีกที
SET มักย่อตัว หากตัวเลขเศรษฐกิจต่ำคาด
วานนี้ SET Index ปรับตัวลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 1352.48 จุด เป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี 2 เดือน ด้วยความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยังซึมอยู่ จากตัวเลข GDP66F ที่รัฐบาล คาดว่าจะอยู่ที่ 1.8% ทำให้ GDP งวด 4Q66 มีโอกาสโตเพียง 1.4%YoY และลดลง - 1.3%QoQ กดดันให้เศรษฐกิจบ้านเราเสี่ยงต่อภาวะ Technical Recession (รายละเอียดอื่นๆ ตามหัวข้อด้านบน) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความผันผวนให้ ตลาดในช่วงนี้
อีกทั้งยังสอดคล้องกับเหตุการณ์ในอดีต ในช่วงกลางเดือน ก.พ. 66 มีการรายงาน GDP4Q65 เติบโตเพียง 1.4%YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 3.5%YoY หลังจากนั้นถึง สิ้นเดือน ก.พ. 66 SET Index มีการปรับฐานไปราว -2.2% อย่างไรก็ตามยังพอมี กลุ่มหุ้นที่ Outperform ตลาดอยู่ คือ หุ้นส่งออก อาทิกลุ่ม AGRI, FOOD, PKG และ หุ้นท่องเที่ยว อาทิ กลุ่ม TOURISM, TRANS จากหุ้นทั้ง 2 กลุ่ม ฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ SCGP, TU, MINT, AOT, III, SJWD เป็นต้น
สรุปความกังวลเศรษฐกิจไทยเติบโตช้ายังเป็นชนักติดหลังตลาดหุ้นไทยให้ผันผวนอยู่ ในช่วงนี้ สำหรับวันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว SET Index ไว้ที่ 1350 – 1365 จุด
จำนวนนักท่องเที่ยวเร่งตัวขึ้น หนุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว Outperform ตลาดฯได้
วานนี้หุ้นจีน (อิง HSI Index) ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 2.6% หลังมีการเรียกความเชื่อมั่นและ นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนจากหลายส่วน อาทิ รัฐบาล -> เม็ดเงินหนุนตลาดหุ้นจาก รัฐบาล 2 ล้านล้านหยวน, ผู้บริหาร-> เห็นเม็ดเงินจาก Jack Ma และ Chairman ซื้อ หุ้น ALIBABA มากกว่า 200 เหรียญ , นักลงทุนสหรัฐ -> DR หุ้นจีนในฝั่งสหรัฐติด Most Active Value ระหว่างชั่วโมงซื้อขาย พร้อมกับราคาปรับขึ้นแรงกว่าหุ้นแม่มาก จึงทำให้ตลาดหุ้นจีนอาจกลับมา Outperform ตลาดอื่นๆ ได้ เนื่องจากมี Valuation ที่ ถูกมาก และการเติบโตอยู่ในช่วงค่อยๆ ฟื้นตัว
กลับมาในส่วนประเทศไทย มีแรงกระตุ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เร่งตัวขึ้นมา โดย รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า สัปดาที่ผ่านมา กลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ที่เป็น กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามามากที่สุด ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 15-21 ม.ค. 67) ในภาพรวมไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 715,579 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ ก่อนหน้า 20,753 คน หรือ 2.99% โดยหากนับตั้งแต่ต้นปีไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยว สะสมเกิน 2 ล้านคนแล้ว ซึ่งเป็นภาพหนุนให้มีโอกาสสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่นักท่องเที่ยวทั้งปี 24Fจะมีสามารถแตะระดับ 32 ล้านคนดังที่ ธปท.ประมาณการไว้ได้มากยากนัก
จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา แนะนำการลงทุนเน้นหุ้นอิงการท่องเที่ยว และ หุ้นอิงการ ฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนเป็นหลัก คาดจะกลับมา OUTPERFORM ตลาดได้อาทิ AOT MINT ERW, IVL SCGP III AMATA SJWD เป็นต้น
สรุป การที่หลายฝ่ายกลับมาให้ความสนใจกลับตลาดหุ้นจีนอีกครั้ง คาดทำให้หุ้นจีน ที่มี Valuation ที่โดดเด่นอยู่แล้ว กลับมา Outperform ได้ไม่ยากนัก ดังนั้น กลยุทธ์การ ลงทุนเน้นหุ้นอิงการท่องเที่ยว และ หุ้นอิงการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนเป็นหลัก คาดจะ กลับมา OUTPERFORM ตลาดได้ อาทิ AOT MINT ERW, IVL SCGP III AMATA SJWD เป็นต้น
ส่วน Top pick วันนี้เลือก AOT AP INTUCH
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities