ช่องว่างของมุมมองเรื่องทิศทางดอกเบี้ย Fed เริ่มปรับตัวเข้าหากันล่าสุดเสียง ส่วนใหญ่ของ Fed Watch Tool แสดงความน่าจะเป็นว่าการประชุมรอบเดือน มี.ค.67 จะเป็นการคงดอกเบี้ย ทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมองของฝ่าย วิจัยที่นำเสนอไว้ว่า ช่องว่างของมุมมองดอกเบี้ย(Fed Minute คาดปรับลด 3 ครั้ง แต่ตลาดคาดลด 6 ครั้ง) น่าจะมาพบกันคนละครึ่งทาง สำหรับประเด็นในบ้านเรา ยังอยู่กับเรื่อง Digital Wallet ที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น โดย Best Case ที่ เป็นอยู่ตอนนี้ดูเหมือนเป็นการเลื่อนกำหนดการเติมเงินออกไปเป็นหลังเดือน พ.ค.67 และ กรณีที่แย่กว่านั้นก็คือไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้จุดเปลี่ยนของ โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีความเห็นออกมาจาก กฤษฎีกา และ ปปช. จากปัจจัยแวดล้อมดังกล่าวเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นบ้านเรายังขาดแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นการย่ำฐานบริเวณเดิมต่อไป
แม้ Valuationจะต่ำ และ สัญญาณทางTechnical อยู่ในภาวะที่Oversoldแต่การ ที่ขาดแรงขับเคลื่อนทำให้คาดว่า SET Index ยังย่ำฐานอยู่บริเวณ 1377 – 1393 จุด หุ้น Top Pick เลือก CPALL (BK:CPALL), CPN และ MAJOR
แรงกระตุ้นเงินเฟ้อ อาจกดดัน Fed ลดดอกเบี้ยไม่แรง
ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังร้อนแรงและลุกลามต่อเนื่อง โดยล่าสุดสหรัฐฯ ยังคงโจมตีฮูตีหลายในเยเมนเป็นรอบที่ 6 นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 พร้อมกับยอมรับ ว่ากลุ่มฮูตีมีขีดความสามารถในการรุกอยู่ ในอีกด้านหนึ่งอิหร่านมีการประกาศจะ ตอบโต้กลับอิสราเอลที่ยิงขีปนาวุธไปยังซีเรีย ภาวะดังกล่าวกดดันให้ต้นทุนค่าขนส่ง ขยับตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีค่าระวางเรือ (BADI) +10.8% ซึ่งอาจเป็นแรงกระตุ้นเงินเฟ้อพุ่งสูงในระยะต่อไปได้
แนวโน้มเงินเฟ้อที่มีโอกาสเร่งตัวสูงขึ้นจาก Cost-push Inflation อาจเป็นปัจจัยกดดัน ให้ Fed ปรับลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าตลาดคาด ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยสหรัฐใน มุมมองระหว่างตลาดการเงินกับความเห็นของ Fed เริ่มมี Gap ที่ค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ และอาจมาพบเจอกันกลางทาง โดยการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2567 ตลาดคาดล่าสุด อยู่ที่ 5 ครั้ง (เดิมคาด 6 ครั้ง) ส่วนความเห็นของ Fed คาด 3 ครั้ง ขณะที่การประชุมใน รอบเดือน มี.ค. นี้ Fed Watch Tool ให้น้ำหนักสูงขึ้นราว 53% ที่จะยังเห็น Fed คง ดอกเบี้ยไว้ที่ 5.5%
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตลาดมีมุมมองการปรับลดดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป แต่ทิศทาง ดอกเบี้ยนโยบายปีนี้ยังอยู่ในวัฎจักรขาลง และเชื่อว่าจะทำให้ค่าเงิน USD อ่อนค่า หนุน ให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งภาพดังกล่าวน่าจะเป็นผลดีต่อทิศทาง Fund Flow ที่มีโอกาส ไหลเข้าตลาดหุ้นบ้านเรามากขึ้นได้
สรุป ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ กดดันให้ต้นทุนค่าขนส่งขยับตัวขึ้นอย่าง ชัดเจน ส่งผลให้แนวโน้มเงินเฟ้อมีโอกาสเร่งตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันให้ Fed ปรับลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าตลาดคาด อย่างไรก็ตาม ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายปีนี้ยัง อยู่ในวัฎจักรขาลง และเชื่อว่าจะทำให้ค่าเงิน USD อ่อนค่า หนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่ง น่าจะเป็นผลดีต่อทิศทาง Fund Flow ไหลเข้าไทยได้มากขึ้น
ปัจจัยแวดล้อมยังมีแรงกดดัน ขณะที่Fund Flow ไหลออก
ความเสี่ยง DOWNSIDE เศรษฐกิจไทย มาจากตัวเลขเงินเฟ้อไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ติดลบทุกเดือน อาจเกิดจากภาคบริโภคที่ชะลอตัว พร้อมกับนักท่องเที่ยวที่ยัง กลับเข้ามาได้ไม่เต็มที่ ทำให้ GDP Growth ปี 2566 อาจเติบโตต่ำกว่าประมาณการ ของหลายสำนักเศรษฐกิจที่อยู่ช่วง 2.5%-3.0% ขณะที่โครงการ Digital Wallet มี โอกาสล่าช้า ออกไป หลังเดือน พ.ค.67 โดยท่าที่ของรัฐบาลยังไม่มีความคิดที่จะยุติ โครงการ Digital Wallet
ด้วยประเด็นดังกล่าวทำให้วันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติ และ สถาบันขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 580 ล้านบาท และ 1233 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี จะเห็น ได้ว่า Fund flow ต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้น 2 ประเทศ คือ ไต้หวัน และ ไทย กว่า 1836 ล้านเหรียญฯ และ 488 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ จึงทำให้ตลาดหุ้นทั้ง 2 ประเทศ ปรับตัวลงตั้งแต่ต้นปี 1.4% และ 2.4%ตามลำดับ ซึ่งสวนทางกับประเทศอื่นๆ ที่ Fund flow ต่างชาติซื้อสุทธิ
ดังนั้นด้วย Flow ต่างชาติที่ทยอยไหลออกจากหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้สัดส่วน การถือครองหุ้นไทยของต่างชาติยังอยู่ในระดับต่ำ โดยถือครองทางตรงอยู่ที่ระดับ 23.88% (หากไม่นับ DELTA เหลือ 19.52%) เมื่อรวมกับ NVDR จะเป็น 29.52% ซึ่ง ถือว่าต่ำกว่าอดีตอยู่มาก อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในเชิงกลับกัน จึงมีช่องว่างอีก มากให้ต่างชาติซื้อสุทธิและเปิด UPside ต่อตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป หากประมาณ การเศรษฐกิจ และ กำไรบริษัทจดทะเบียน ดูดีขึ้นในอนาคต
สรุป Fund flow ต่างชาติทยอยไหลออกจากตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี จึงทำให้ SET Index ปรับตัวลง 2.4% อย่างไรก็ตามหากประมาณการเศรษฐกิจ และ กำไรบริษัทจด ทะเบียน ดูดีขึ้นในอนาคต อาจเป็นตัวชี้นำให้ FLow ต่างชาติไหลเข้า SET Index ได้ไม่ ยากนัก เนื่องจาก มีช่องว่างให้ซื้อสุทธิอีกมาก โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวของ SET index อยู่ที่ 1377-1393 จุด
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities