สหรัฐฯ รายงานตัวเลข PPI เดือน ธ.ค. ออกมา 1%YoY (ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 1.3%YoY) ถือเป็นการส่งสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐลดความร้อนแรงลง ส่งผลให้ Fed Watch Tool คาด Fed มีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้เพิ่มเป็น 7 ครั้ง และ Bond Yield 10 ปี สหรัฐปรับลงมาต่ำกว่า 4% ดีต่อหุ้นปันผลและหุ้นการเงิน นอกจากนี้ มีประเด็นไต้หวันได้ประธานาธิบดีคนใหม่ คือ นาย ไล่ ชิง-เต๋อ จากพรรค DPP กดดันให้เกิดอุปสรรคในการสร้างจีน 1 อาจสร้างความผันผวนให้สินทรัพย์เสี่ยง ช่วงสั้น อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ทยอยฟื้นขึ้นในเดือน ธ.ค. โดยตัวเลขนำเข้า 0.2%YoY และส่งออก 2.3%YoY พร้อมกับคาดการเติบโต GDP4Q66 จีน ที่จะรายงานในวันพุธนี้เพิ่มขึ้น 5.2%YoY ขณะที่ประเด็นในไทย รัฐเร่งผลักดันสนับสนุนพลังงานสะอาด โดยเดินหน้าปลดล็อคการผลิตพลังงาน ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ Solar Rooftop ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาต ประกอบกิจการโรงงานอีกต่อไป คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2567 และยัง พิจารณาแนวทางกำหนดมาตรการให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายจากติดตั้ง Solar Rooftop มาหักลดหย่อนภาษีประจำปี ไม่เกิน 2 แสนบาท ขนาด 10 กิโลวัตต์ โดยมีระยะเวลา 3 ปีถือเป็นกระแสบวกให้กับหุ้นพลังงานสะอาดอีกครั้ง
คาดว่า SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1405 - 1420 จุด ส่วนหุ้น Top Pick แนะนำหุ้นกำไร 4Q66 มีโอกาสเติบโตโดดเด่น AP, MAJOR และ BH
ความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของFED ชะลอลง หนุนเม็ดเงินไหล เช้าสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง
วานนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯแกว่งทรงตัวในกรอบแคบ -0.3% ถึง +0.1% อย่างไรก็ตาม สัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐลดความร้อนแรงลง จากดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ปรับตัวขึ้น 1.0%YoY ในเดือนธ.ค.66(ต่ำกว่าคาดที่ระดับ 1.3%YoY) ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 1.8%YoY ใน เดือนธ.ค.66 (ต่ำกว่าคาดที่ระดับ 1.9%YoY) ปรเด็นดังกล่าว หนุนให้อัตรา ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลง และหนุนให้ตลาดคาดว่า FED มีโอกาสลด ดอกเบี้ยรอบ มี.ค.67 สูงขึ้นจาก 57.3%(9 ม.ค. 67) สู่ระดับ 76.9%(15 ม.ค. 67) และ มองอัตราดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ระดับ 3.75% เท่านั้น
ดังนั้น ตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาส Outperform ในช่วงนี้หลัง FLow ไหลเข้า ซึ่ง SET Index น่าจะได้รับ Sentiment เชิงบวกดังกล่าวเช่นกัน ส่วนหุ้นที่คาดได้ ประโยชน์ หากดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง คือ กลุ่มเช่าซื้อ, ธพ.ขนาดเล็ก, อสังหาฯ, ปันผลสูง , Net debt
สรุป ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ประกาศออกมาแย่กว่าคาด หนุนให้นักลงทุนคาดว่า FED มีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้นในการประชุมรอบ มี.ค.67 และระยะถัดไปยังเข้าสู่ยุค ดอกเบี้ยขาลงที่ชัดเขนขึ้นเรื่อยๆ คาดสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงไทยที่จะเปิดตลาดฯเช้านี้ โดยวันนี้คาดกรอบ SET Index 1405-1420 จุด ส่วน กลุ่มหุ้นคาดได้ประโยชน์ หากดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง คือ กลุ่มเช่าซื้อ, ธพ.ขนาดเล็ก, อสัง หาฯ, ปันผลสูง, NET DEBT เป็นต้น
เศรษฐกิจจีนยังน่าเป็นห่วง คาดหวังรัฐบาลกระตุ้นเพิ่มเติม
ภาพรวมเศรษฐกิจจีนในช่วงนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติตามอย่างใกลชิด อาทิ
• ความตึงเครียดบนช่องแคบไตหวันที่มีโอกาสทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังพรรค DPP ที่มีจุดยืนสนับสนุนเอกราชของไต้หวัน บวกกับพรรคนี้ยังมี ความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐ ได้รับชัยชนะการเลือตั้งเป็นสมัยที่ 3 ทำให้โอกาส ในการสร้างจีน 1 (นโนบายจีนเดียว) ยังมีอุปสรรค ขณะที่ความเคลื่อนไหว ของจีนล่าสุด ได้มีการเปิดภาพซ้อมรบยิงขีปนาวุธปรามไต้หวัน
• การฟื้นตัวของ Demand ที่อาจจะยังกลับมาไม่เต็มที่ สะท้อนจากหลาย ตัวเลขล่าสุดในเดือน ธ.ค. อาทิ ดัชนีเงินเฟ้อจีน -0.3%YoY หดตัวต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 3 หลักๆ มาจากกลุ่มอาหาร รวมถึงดัชนี PPI -2.7% ชะลอตัว มากกว่าตลาดคาด และยังคงติดลบ 15 เดือนติดต่อกัน อีกทั้งตัวเลขการ นำเข้าที่ 0.2%YoY ยังต่ำกว่าที่ตลากคาด
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนถือว่ามีสัญญาณที่ดีขึ้น สะท้อน จากหลายตัวเลขที่ขยับสูงขึ้นจากเดือนก่อน การขยายตัวของ Demand ที่ยังฟื้นตัวไม่ เต็มที่ ที่ว่าจะเป็นแรงผลักให้รัฐบาลจีนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมผ่านการนโยบาย การเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่ข้อมูลในอดีตช่วงที่ PBOC ตัดสินใจปรับลดอัตรา ดอกเบี้ยเงินกู้อายุ 1 ปี เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธาคารพาณิชย์ (Medium-term Lending Facility Rate: MLF) มักจะหนุนให้ตลาดหุ้นไทย-จีน ขยับตัวสูงขึ้น
สรุป ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ บวกกับยังมีประเด็นความเสี่ยงเชิง ภูมิรัฐศาสตร์ กรณีความตึงเครียดบนช่องแคบไตหวันที่อาจเข้ามาบั่นทอนการ ขยายตัวของเศรษฐกิจจีน ปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นแรงผลักให้รัฐบาลจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มเติมในระยะถัดไปได้
เลือก 5 หุ้นเด่นจากธีม CHINA PLAY ที่น่าซื้อสะสมสุดในช่วงนี้ SCGP, IVL, PTTGC, III, ERW เป็น TOPPICK
บอร์ด PTT (BK:PTT) มีมติปฎิบัติตามภาครัฐ กระทบกำไรตามคาด
จากการชี้แจงรายละเอียดของ PTT ต่อตลท.ถือว่าอยู่ในกรอบที่ฝ่ายวิจัยได้นำเสนอ และปรับลดประมาณการของ PTT จากผลกระทบทั้ง 2 ประเด็นไปก่อนหน้านี้ มีเพียง ประเด็นการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯ ที่ PTT ชี้แจงเป็นมาตรการระยะสั้นจนกว่าจะมี การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซฯอย่างเป็นทางการโดย กกพ. แล้วเสร็จ เบื้องต้นฝ่าย วิจัยเชื่อว่าการปรับโครงสร้างใหม่ของกกพ. น่าจะอิงกับสิ่งที่ทางกกพ.ให้แนวทาง และ ถูกนำมาปฎิบัติใช้ในการลดค่าไฟฟ้างวด ม.ค.-เม.ย.67 โดยการปรับโครงสร้างราคา ก๊าซฯตามมาตรการของภาครัฐฯดังกล่าวจะส่งผลให้ต้นทุนของโรงแยกก๊าซฯ เปลี่ยนแปลงจาก ก๊าซฯ ในอ่าวไทยเป็นต้นทุนถัวเฉลี่ยก๊าซฯ จากทุกแหล่ง (Pool Gas) ได้แก่ อ่าวไทย พม่าและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการ ดำเนินงานของธุรกิจโรงแยกก๊าซฯที่จะปรับสูงขึ้น ยกเว้นก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็น เชื้อเพลิงในประเทศ ทำให้เรายังคงประมาณการและมูลค่าพื้นฐาน PTT ที่ปรับลดไป ก่อนหน้าภายใต้หลักความระมัดระวัง และมีโอกาสที่ภาครัฐะแทรกแซงแบบนี้ไปเรื่อยๆ จึงเป็นความเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึง อีกทั้งตัวเลขผลกระทบของ 4 เดือนที่ประกาศออกมา ที่6.5 พันล้านบาท ซึ่งหากคำนวนต่อปีจะอยู่ที่เกือบ 2.0 หมื่นล้านบาท ตามกรอบที่ ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการต่อปี แต่อย่างไรก็ตาม PTT จะมีการวางแผนเพื่อหา มาตรการในการลดผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น การปรับแผนการเดินเครื่องของ
โรงแยกก๊าซฯ (Optimization) การเสนอแนวทางการจัดหา LNG เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายกรอบราคาค่าไฟฟ้าตามนโยบายภาครัฐ รวมถึง PTT จะหารือกับกระทรวง พลังงานถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯ ในภาพรวมทุก ด้าน เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมร่วมกัน
ส่วนประเด็น shortfall 4.3 พันล้านบาท นั้น คณะกรรมการ PTT ในประชุมนัดพิเศษมี มติอนุมัติให้ PTT ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของ กกพ. โดย PTT จะพิจารณา แนวทางดำเนินการหรือการใช้สิทธิตามกฎหมายที่จำเป็นและสมควรต่อไป โดย รายละเอียดของ shortfall เกิดจาก กกพ. มีคำสั่งว่า PTT คำนวณราคา Pool Gas ไม่ ถูกต้อง และให้ PTT นำ Shortfall ช่วง ต.ค. 2563 - ธ.ค. 2565 มูลค่ารวมประมาณ 4,300 ล้านบาท มาคำนวณในราคา Pool Gas นั้น PTT เชื่อว่า PTT ได้คำนวณราคา Pool Gas ถูกต้องและเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และประกาศ กกพ. ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งถูกต้องตามสัญญาซื้อขายก๊าซฯ มาโดยตลอด PTT จึงได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อ กกพ. ต่อมาปรากฏว่า กกพ. ได้มีคำวินิจฉัย ยกอุทธรณ์ของ PTT โดยให้ PTT ปฏิบัติตามคำสั่งทันทีและหาก PTT ไม่เห็นด้วยกับ คำวินิจฉัยของกกพ. PTT มีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง หรือยื่นเรื่องต่อสำนักงาน อัยการสูงสุดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี พ.ศ. 2561 ภายใน 90 วันนับแต่ วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ กกพ.
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities