มุมมองทิศทางดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่มี Gap ระหว่างมุมมองของตลาด การเงิน กับความเห็นของ Fed ทำให้Bond Yield 10 ปี ขยับตัวขึ้น 21 bps. มา อยู่ที่ 4% ซึ่งในมุมของเราเห็นว่า ช่องว่างของความเห็นดังกล่าวจะค่อยๆ แคบลง และอาจมาพบเจอกันกลางทาง (ระหว่างปรับลง 6 ครั้งกับ 3 ครั้ง) แต่อย่างไรก็ ตามก็มีความชัดเจนประการหนึ่งที่ตรงกันคือ ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในวัฎ จักรขาลง และน่าจะทำให้ค่าเงิน USD อ่อนค่า ซึ่งภาพดังกล่าวน่าจะเป็นผลดีต่อ ทิศทางFund Flow ที่มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นบ้านเรามากขึ้น อีกหนึ่งปัจจัยที่น่า ติดตามคือ สงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่มีความเสี่ยงต่อการขยายวงมากขึ้น และ อาจมีผลต่อราคาน้ำมันในระยะต่อไป ส่วนในบ้านเราวันนี้ จะมีการประกาศตัวเลข เงินเฟ้อเดือน ธ.ค.66 ซึ่ง Consensus คาดอยู่ที่ -0.4% YoY ภาพรวมของปัจจัย แวดล้อมทางพื้นฐานดังกล่าว ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการปรับขึ้นของ SET Index
แม้จะเกิดความผันผวนอยู่บ้าง แต่ก็เชื่อว่า SET Index ยังอยู่ในแนวโน้มขึ้น โดยมี ทิศทางFund Flow ที่มีโอกาสไหลเข้าเป็นแรงหนุน วันนี้ประเมินกรอบ SET Index ที่ 1423 –1440 จุด หุ้น Top Pickเลือก BEM, BH และ JMART
ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสทรงตัวระดับสูง หนุน SET Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆ
แม้วานนี้ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.8% และ 0.5% ตามลำดับ จนอยู่ที่ระดับ 77 และ 72 เหรียญฯ/บาร์เรล หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมัน เบนซินและน้ำมันกลั่นพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว โดย EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซิน พุ่งขึ้น 10.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 237 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 10.1 ล้าน บาร์เรล แตะระดับ 125.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งการพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมัน กลั่นสะท้อนถึงการชะลอตัวของ Demand ในตลาดน้ำมัน
อย่างไรก็ตามภาพรวมราคาน้ำมันดิบมีโอกาสทรงตัวในระดับนี้ต่อไป จาก สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและทะเลแดงที่ยังมีแนวโน้มบานปลายเป็นวง กว้าง หลังนายซาเลห์ อัล-อารูรี ผู้นำอาวุโสของกลุ่มฮามาสได้ถูกสังหาร หลังจากนั้น จรวดหลายลูก ถูกระดมยิงใส่อิสราเอล ซึ่งทำให้สงครามระหว่างอิสราเอลกับนักรบ ปาเลสไตน์ได้ลุกลามไปถึงเลบานอนและมีโอกาสขยายวงกว้างตลอดเวลา ดังนั้นจึงเป็น ประเด็นที่ต้องติดตาม ว่าจะมีความคืบหน้าทางด้านความรุนแรงอีกหรือไม่ ถ้าหากมี อาจเป็นตัวนำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วง 1-2 สัปดาห์ โดยหุ้นที่คาดได้ ประโยชน์ คือ PTT (BK:PTT) PTTEP TOP SPRC เป็นต้น
ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังมีแรงหนุนเฉพาะตัวของหุ้นบางบริษัทในกลุ่มโรงกลั่น อาทิ SPRC และ PTTEP ที่มีรายละเอียดดังนี้
SPRC : ประกาศเข้าลงทุนแล้วเสร็จในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซึ่ง ประกอบด้วยธุรกรรม 1) เข้าซื้อหุ้น 100%ของบริษัท เชฟรอน ลูบริแคนท์ (ประเทศไทย) จำกัด, 2) เข้าซื้อหุ้น 9.91% ในบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด(Thappline), และ 3) เข้าลงทุนซื้อหุ้น 49% ในบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ 2 บริษัท เพื่อดำเนินการซื้อที่ดินสำหรับ ใช้ประกอบธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เบื้องต้น คาดจะช่วยสร้างกำไรให้ SPRC ภายหลังจากหักดอกเบี้ยและภาษีสุทธิที่ราว 0.5 – 1.0 พันล้านบาท/ปี คิดเป็น มูลค่าเพิ่มที่ราว 0.5 –1.0 บาท/หุ้น (รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อบทวิเคราะห์ New Plus SPRC ประจำวันที่ 4 ม.ค.67)
PTTEP : นายกรัฐมนตรีเตรียมหารือเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกัมพูชา(Overlapping Claims Areas : OCA) กับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่มี กำหนดการจะเดินทางมาเยือยไทยในวันที่ 7 ก.พ. 2567 โดยมูลค่าโครงการนี้ที่ทาง กระทรวงพลังงานได้ประเมินไว้จะอยู่ราว 10 ล้านล้านบาท และผลิตได้มากกว่า 20 ปี ซึ่ง หากรัฐบาลประสบความสำเร็จในการเจรจา จะนำมาซึ่งปิโตรเลียม โดยเฉพาะก๊าซ ธรรมชาติจำนวนมาก ที่จะสร้างความมั่นคงให้กับทั้ง 2 ประเทศ โดยจะเป็นบวกต่อ ผู้ผลิตสำรวจปิโตรเลียมที่จะมีแหล่งลงทุนเพิ่ม อาทิ PTTEP, CHEVRON และบวกต่อ โรงแยกก๊าซฯผ่าน PTT ที่จะมีปริมาณก๊าซฯมาผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องติดตามผลลัพธ์ การประชุมวันที่ 7 ก.พ. 2567 ว่าจะออกมาเช่นไร (รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อบท วิเคราะห์ New Plus PTT-PTTEP ประจำวันที่ 5 ม.ค.67)
สรุป แม้วานนี้ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลง แต่ความกังวล Supply ในตลาดน้ำมันตึงตัว ขึ้น และความไม่สงบในสงครามตะวันออกกลางและทะเลแดง คาดเป็นประเด็นหนุนให้ ราคาน้ำมันดิบยังทรงตัวในระดับสูงได้ โดยฝ่ายวิจัยฯแนะนำ PTT PTTEP TOP SPRC เป็นต้น คาดราคาหุ้นสามารถ Outperform หุ้นตัวอื่นๆได้
เงินเฟ้อไทยต่ำ ยิ่งง่ายต่อการเพิ่มนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
อัตราเงินเฟ้อไทยเดือน ธ.ค. ที่จะมีการรายงานเช้านี้เวลา 10.30 น. Consensus คาด ว่าจะอยู่ที่ -0.4%YoY หดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ -0.44%YoY ส่วนหนึ่ง เนื่องจากอยู่ในช่วงการใช้มาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ ซึ่งเงินเฟ้อที่อยู่ใน ระดับต่ำเช่นนี้เชื่อว่าจะเปิดทางให้ กนง. สามารถดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายได้ เมื่อถึงเวลาอันควร
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้ลองทำ Sensitivity Analysis เพื่อหาอัตราการเพิ่มของ CPI ที่จะทำ ให้เงินเฟ้อขึ้นไปแตะกรอบบนที่ 3%พบว่า ต้องเห็นการเพิ่มขึ้นของ CPI ในอัตรา 0.3% MoM จึงจะทำให้เงินเฟ้อปลายปี 2567 แตะระดับ 3% ซึ่งประเมินจากปัจจัยแวดล้อมที่ เป็นอยู่น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก
ขณะที่เงินเฟ้อบ้านเรายังอยู่ในระดับไม่เกินกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ทำให้รัฐบาลมีการ ออกนโยบายทางการคลังต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เฉพาะอย่างยิ่งภาคบริโภค โดย ล่าสุดดำเนินการผ่านมาตรการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt สูงสุด 50,000 บาท อีกทั้งระยะถัดไปยังมีโครงการ Digital Wallet แจกเงิน 10,000 บาท ทั้งนี้ กลุ่ม อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการ Easy E-Receipt / Digital Wallet
สรุป เงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดับต่ำ เปิดทางให้ กนง. สามารถดำเนินนโยบายการเงิน ผ่อนคลายได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังทำให้รัฐบาลมีการออกนโยบายต่างๆ เพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจในบ้านเรามากขึ้น ดังนั้นหาก กนง. เริ่มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย พร้อมๆ กับการมีมาตรการทางการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็น่าจะทำให้ภาพเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นปีมังกรดูดีขึ้น
น้ำหนักการลงทุนไปที่หุ้นลงลึก และหุ้นปันผล
ในปีนี้ตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายมา 3 วันทำการ ปรับตัวขึ้นมา 1.3%ytd และ Outperform กว่าตลาดหุ้นโลก อย่าง MSCI ACWI ปรับตัวลดลง -1.8%ytd ฝ่ายวิจัย ฯ สังเกตเห็นว่าหุ้นที่พลิกกลับมา Outperform ในปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ลงมาลึกในปีที่ แล้ว สะท้อนได้จาก ข้อมูลดัชนีตลาดหุ้นต่างๆ ที่ลงลึกปีที่แล้ว อย่าง sSET -18.0% ปีนี้ ดีดกลับขึ้นมา 4.1%ytd Outperform กว่า SET ที่ปีที่แล้ว -15.2% ปีนี้ฟื้นกลับขึ้นมา 1.3%ytd
ในอีกมุมหากดูรายละเอียดเป็นราย Sector พบว่า ปีนี้ที่ Outperform เด่น อาทิ TRANS +5.7%, CONS +5.5%, AGRI +4.3%, FIN +4.2%, INSUR +4%, MEDIA +3.9% ซึ่งทุก Sector ที่กล่าวมา ปีที่แล้วปรับตัวลดลงเกิน -20% ทั้งสิ้น ในทางกลับกัน หุ้นที่ Outperform ตลาดปีที่ อย่าง ETRON, BANK, HELTH ปีนี้ขึ้นได้น้อย กว่าตลาด
นอกจากนี้ยังเห็นหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่ Outperform ตลาดเด่นช่วงนี้ คือ หุ้นปันผลสูง โดยเฉพาะหุ้นปันผลสูงเกิน 4% ที่จ่ายปันผลปีละครั้ง เริ่มมีเม็ดเงินทยอยเข้ามาสะสม เรื่อยๆ อาทิ PYLON ปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น +9.5%, ASK 4.0%, SAWAD +3.7%, AP +3.5%, SCCC +1.8% ฯลฯ
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นปันผลสูงจ่ายปีละครั้ง อย่าง ORI ASK PYLON JMT กับหุ้นพื้นฐานเด่น ราคาลงลึก JMART EA DCC GUNKUL STEC SCGP GPSC IVL IRPC CPAXT SEAFCO BGRIM
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities