แม้มูลค่าการซื้อขายจะเบาบางช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองปลายปี แต่เราเห็นแรงซื้อที่ แข็งแรงจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเม็ดเงิน Thailand ESG Fund ที่ AUM เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และน่าจะเปิดโอกาสให้เกิดปรากฎการณ์ Window Dressing ตามมาในช่วงเวลาที่เหลือของปี ตามด้วย January Effect ต้นปี 2567 ส่วนปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน มี 2 เรื่องที่น่าสนใจ ได้แก่ มติ ครม. ที่ เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ซึ่งจะนำเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภาใน วันที่ 3 –4 ม.ค.67 และคาดวาน่าจะเห็นเม็ดเงินจากงบประมาณถูกนำมาใช้จ่ายได้ ช่วงกลาง 2Q67 ทำให้การขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ของภาครัฐเป็นรูปธรรม มากขึ้น ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเป็นมติ ครม. เช่นกัน ที่เห็นชอบกรอบเงินเฟ้อปี 2567 ที่ 1 – 3% ทั้งนี้เมื่อเทียบกับสถานการณ์เงินเฟ้อปัจจุบัน จะเปิดทางให้ กนง. สามารถที่จะเดินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินได้สะดวกขึ้น
ยังไม่เห็นปัจจัยลบเข้ามาสร้างแรงกดดัน โอกาสที่จะเห็น Window Dressing ตาม ด้วย January Effect มีความเป็นได้มาก วันนี้กำหนดกรอบ SET Index ที่ 1408 –1420 จุด หุ้น Top Pick เลือก CPN, CRC และ COM7
ตลาดคาด FED ลดดอกเบี้ยเชิงรุก กด Dollar index อ่อนค่า
วานนี้ตลาดหุ้นฝั่งสหรัฐฯปรับตัวขึ้นทุกดัชนี ราว 0.5%-1.5%(S&P500 ใกล้ทำจุด ALL TIME HIGH) หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด ทั้งดัชนีราคาบ้าน และ PCE ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เผชิญภาวะถดถอย แต่ จะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือ Soft Landing โดยตลาดคาดมีโอกาสสูงที่จะ เห็นการปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้า โดยเจ้าหน้าที่ Fed(Dot plot) ส่งสัญญาณปรับลด ดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2567 (ครั้งละ 0.25% รวม 0.75%) แต่ตลาดกลับมองว่า FED มี โอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้ง สะท้อนผ่าน FED WATCH TOOL ให้ น้ำหนักสูงถึง 84% ที่อาจเห็น FED เริ่มลดดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. 67 และมีโอกาสปรับ ลดดอกเบี้ยสูงถึง 6 ครั้ง ในปี2567 (ดอกเบี้ยปลายปีอยู่ที่ 3.75%)
ดังนั้นการที่ FED มีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยในปีหน้าแบบเชิงรุก ทำให้มีโอกาสสูงที่จะ เห็นการอ่อนค่าของ Dollar index และเห็นเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น ในระยะถัดไป ซึ่งหาก Dollar index อ่อนค่าจริง คาดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาท แข็งค่าต่อเนื่อง และลุ้นให้ Flow ต่างชาติไหลเข้า SET Index และดันดัชนีปรับตัวขึ้นต่อ ได้ เฉกเช่นเดียวกับข้อมูลในอดีต
สรุป FED ส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงในปีหน้า อาจกดดันให้ DOLLAR อ่อนค่าลงอย่างมีนัยฯ และหนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง คาดมี โอกาสทดสอบแนว 34-34.5 บาท/เหรียญฯ และหนุนให้ FLow ต่างชาติไหลเข้า SET Index ระยะถัดไป โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ที่ระดับ 1408- 1420 จุด
มติ ครม. ดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้า
วานนี้ ครม. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และจะให้เสนอสภา ผู้แทนราษฏรพิจารณาวาระที่ 1ต่อไป ในวันที่ 3 – 4 ม.ค. 67 ขณะที่กรอบเวลาการ อนุมัติงบประมาณในระยะถัดไปตามความเห็นชอบรายละเอียดของรัฐบาล สรุปได้ดังนี้
• ม.ค. – มี.ค.67 คณะกรรมาธิการฯ พิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2567
• 3-4 เม.ย.67 สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2567
วาระที่ 2-3
• 9-10 เม.ย.67 วุฒิสภา พิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2567
• 17 เม.ย.67 สำนักงบประมาณเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นำร่าง พ.ร.บ.
งบประมาณ 2567ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศใช้
ทั้งนี้ การนำงบประมาณ2567 มาใช้คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 2Q66 และน่าจะเห็นเม็ดเงิน ในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีต่อการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ ครม. ยังได้อนุมัติกรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของบ้านเราปี 2567 ไว้คง เดิมที่ระดับ 1-3% ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่าง กนง. และกระทรวงการคลัง ซึ่งมอง ว่าเป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และ น่าจะเป็นการเปิดทางให้ กนง. ใช้งบประมาณผ่อนคลายได้สะดวกขึ้น
สรุป มติ ครม. วานนี้ ทั้งการเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2567 บวกกับการกำหนเกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ไว้คงเดิมที่ระดับ 1- 3% ล้วนเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า หนุนให้ GDP ขยายตัวได้ ต่อเนื่อง
เม็ดเงินจาก Thailand ESG Fund หนุนตลาดปลายปี
ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา สังเกตว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่มาจาก สถาบันในประเทศเป็นหลัก โดยตั้งแต่ 18 ธ.ค.66 ซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 4 พันล้านบาท ซึ่ง สาเหตุหลัก มาจากเม็ดเงิน ESG Fund ที่ทยอยเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ 18 ธ.ค.66 มี AUM อยู่ที่ 424 ล้านบาท จนถึงล่าสุดอยู่ 2.84 พันล้านบาท (ณ 25 ธ.ค. 66) โดยเพิ่มเฉลี่ยวันละ 403 ล้านบาท ส่วนสัปดาห์นี้น่าจะเห็นเม็ดเงินไหลเข้ามา เพิ่มเติมเด่นในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ฝ่ายวิจัยฯคาดว่าเม็ดเงิน ESG Fund ในปีนี้มี โอกาสอยู่ที่ระดับ 5 พันล้านบาท –1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่หากพิจารณา AUM ทั้งหมดเป็นราย บลจ. จะเห็นได้ว่า บลจ.ที่มีมูลค่า AUM มากสุด คือ ไทยพาณิชย์ 600 ล้านบาท, กสิกรไทย 584 ล้านบาท, บัวหลวง 489 ล้าน บาท, กรุงไทย 324 ล้านบาท
ขณะที่กลยุทธ์การลงทุน แนะนำทยอยสะสมหุ้นให้ความสำคัญกับ ESG ที่แนวโน้มกำไร เติบโตเด่น หรือ ปันผลสูง
• หุ้น ESG Rating สูง กำไรเติบโตเด่น -> CK, GULF, CRC, BEM, CPALL (BK:CPALL),
MINT, kbank, hmpro, bbl, cpn, intuch, ap, advanc, tisco
• หุ้น ESG Rating สูง ปันผลสูง -> SIRI, BRI, TISCO, ORI, SPALI, SC, LH,
INTUCH, AP, TTCL, MAJOR, BBL, ADVANC, kbank, hmpro
ซึ่งรายชื่อที่ซ้ำกันทั้ง 2 กลุ่ม คือ TISCO, INTUCH, AP, BBL , ADVANC , KBANK (BK:KBANK), HMPRO
สรุป SET Index ช่วงปลายปีมีแรงหนุนจากเงิน TESG Fund จากฝั่งสถาบัน และมีโอ กาเร่งตัวในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่มี ESG Eating สูงอย่าง TISCO, INTUCH, AP, BBL , ADVANC , KBANK, HMPRO
ส่วน Top pick วันนี้เลือก COM7 ,CPN ,CRC
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities