Economic Highlight
ปัจจัยภายนอกที่สำคัญ ได้แก่ ผลการประชุมของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน
**ราคาทองคำ = สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.
FX Highlight
- สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง กดดันโดยแรงขายสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ และการย่อตัวลงของราคาทองคำ
- เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังคงมีอยู่ โดยมีโอกาสที่เงินบาทอาจผันผวนอ่อนค่าทดสอบแนวต้าน 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลการประชุมเฟด
- หากเฟด “ขึ้น” ดอกเบี้ย สวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ หรือ เฟดอาจคงดอกเบี้ยตามคาด แต่ยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อาทิ คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายเฟด (Dot Plot) ใหม่ อาจยังคงสะท้อนการลดดอกเบี้ยเพียง -50bps ในปีหน้า ไม่ต่างจาก Dot Plot เดิม ในกรณีนี้ เราคาดว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านไม่ยาก
- ในทางกลับกัน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ แย่กว่าคาด และสะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจมากขึ้น ส่วนเฟดก็ “คง” อัตราดอกเบี้ยตามคาด และคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึง คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ (Dot Plot) ใกล้เคียงกับสิ่งที่ตลาดกำลังประเมินไว้ เรามองว่า ในกรณีนี้นั้น เงินบาทมีโอกาสผันผวนแข็งค่าขึ้น แต่ก็อาจจะแค่กลับไปทดสอบโซนแนวรับ 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์
- ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ โดยราคาทองคำได้ย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจรอจังหวะเข้าซื้อ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวจะเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
- ขณะที่ หากราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้บ้าง (อย่างน้อย 20 ดอลลาร์ต่อออนซ์) เราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยขายทำกำไรทองคำ ซึ่งจะช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาทได้
- นอกจากปัจจัยแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ควรระวังความผันผวนจากเงินหยวนจีน (CNY) ที่จะอ่อนไหวไปตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales)
- ส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ก็ยังมีความผันผวน ซึ่งจะขึ้นกับบรรยากาศในฝั่งตลาดการเงินโลก
- ในเชิงเทคนิคัล สัญญาณจากทั้ง RSI และ MACD (Time Frame รายวัน) ชี้ว่า เงินบาทมีความเสี่ยงที่อาจผันผวนอ่อนค่าลงได้
- อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ Time Frame ที่สั้นลง เช่น H4 และ H1 สัญญาณจากทั้ง RSI และ MACD ชี้ว่า การอ่อนค่าในช่วงที่ผ่านมา อาจเริ่มแผ่วลงบ้าง และเริ่มเห็นสัญญาณการเกิด Bearish Divergence ในส่วนของ RSI โดยต้องจับตาแนวต้านสำคัญโซน 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ โซนแนวรับสำคัญ ยังคงเป็นโซน 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์
Gold Highlight
- ราคาทองคำผันผวนหนักและปรับตัวลงต่อเนื่อง มากกว่าที่เราคาดไว้ ตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
- สัปดาห์นี้ มุมมองผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดและบรรยากาศในตลาดการเงิน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาทองคำ
- ราคาทองคำมีโอกาสผันผวนในกรอบกว้าง โดยมีโอกาสปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด และผลการประชุมเฟดยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานกว่าที่ตลาดกำลังคาดการณ์อยู่
- ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี S&P500 ได้ปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านสำคัญ จะต้องจับตาใกล้ชิดว่า ดัชนี S&P500 จะย่อตัวลง หรือ ปรับตัวขึ้นต่อชัดเจน โดยภาพดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน และทิศทางราคาทองคำได้
- ในเชิงเทคนิคัล สัญญาณจาก RSI และ MACD (Time Frame รายวัน) ชี้ว่า โมเมนตัมการปรับตัวลดลงของราคาทองคำยังมีอยู่ หลังสัญญาณจาก RSI และMACD ยังคง Bearish
- สำหรับ สัญญาณจาก Time Frame ที่สั้นลง อย่าง H4 และ H1 ชี้ว่า ราคาทองคำมีโอกาสรีบาวด์ขึ้นได้บ้าง โดยเริ่มเห็นสัญญาณ Divergence บน RSI และ Bullish MACD ใน TF H1
- หลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอจังหวะ Long ทองคำ ใกล้โซนแนวรับ 1,985-1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยอาจตั้ง Stop loss สำหรับ สถานะ Long ราว -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าการรีบาวด์แถวโซนแนวต้าน 2,040-2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์