ตัวเลข GDP GROWTH งวด 3Q66 ของบ้านเราออกมาที่ 1.5% YOY ต่ำกว่า คาดที่ 2.2% ซึ่งหากพิจารณาในรายละเอียดพบว่าการโตในระดับต่ำดังกล่าวยัง เห็นภาพการบริโภคภาคครัวเรือนเติบโตถึง 8.1%ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนโต 3.1% เป็นการสะท้อนความแข็งแกร่งประการหนึ่ง แต่องค์ประกอบที่เป็นตัวฉุด ได้แก่ การจ่ายและการลงทุนภาครัฐ รวมถึงการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ คาดหมายว่าจะเห็นการฟื้นตัวในงวด 4Q66 โดย GDP GROWTH ควรอยู่ที่ ประมาณ 4.07% เพื่อดันในปี 2566 ภาพรวมโต 2.5% ส่าหรับปี 2567 สภาพัฒน์ คาด GDP GROWTH ที่ 3.2% (ค่ากลาง) ภาวะดังกล่าวไม่ถือเป็นแรง ฉุดตลาดให้ปรับลง ขณะที่แรงผลักดันน่าจะเป็นเรื่อง ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่หมด ขาขึ้น และรอวันปรับลดลง ซึ่งน่าจะดึงให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ภาพรวมปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน ไม่ถือเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวกลับของ SET INDEX โดยยังเห็นภาพการฟื้นตัวของทั้ง GDP และก่าไรบริษัทจดทะเบียน วันนี้คาดอยู่ในกรอบ 1410-1428 จุด TOP PICK เลือก CPN, SIRI และTISCO
เข้าสู่ยุคผ่อนคลายนโยบายการเงิน คาดหนุนสินทรัพย์เสี่ยงบูม
เง้อเฟ้อทั่วโลกที่ชะลอตัวนับตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ก่าลังสะท้อนถึงความร้อนแรง ของเศรษฐกิจที่ลดลง อย่างไรก็ตามปัจจุบันท่าทีการด่าเนินนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางต่างๆ เริ่มออกมาในโทนที่ผ่อนคลายมากขึ้นหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
เริ่มจากธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่วานนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีที่ระดับ 3.45% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีไว้ที่ระดับ 4.20% อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังมีการอัดฉีดสภาพคล่องกว่า 2 แสนล้านเหรียญฯ ผ่าน โครงการ MLF ซึ่งเป็นเดเงินสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี
ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เชื่อว่าจบรอบดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว โดย FED WATCH TOOL เผยโอกาสที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไปแทบไม่เหลือแล้ว ซึ่งเพดาน ดอกเบี้ยสหรัฐฯ คาดว่าจะตรึงไว้ที่ 5.5% ไปจนถึงต้น 2Q67 ก่อนที่จะทยอยปรับตัว ลดลง ขณะที่ในคืนนี้ เวลาตี 2 (ตามเวลาประเทศไทย) รอติดตาม FOMC FED MINUTE เพื่อประเมินท่าทีการด่าเนินนโยบายการเงินหลังจากนี้
ส่าหรับบ้านเรา ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) มีโอกาสคงดอกเบี้ยไว้ที่ 2.5% ในการ ประชุมนโยบายการเงินครั้งสุดท้ายของปีนี้ (วันที่ 29 พ.ย.) แต่คณะกรรมการกนง. ก็มี โอกาสเสียงแตกได้เช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ GDP GROWTH ไทยใน 9M66 ขยายตัวได้ค่อนข้างน้อย (รายละเอียดในหัวข้อถ้ดไป) อีกทั้งการหยุดขึ้นจะช่วยให้สอดรับกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งด้านการ ลงทุนและการบริโภค ภาวะข้างต้นฝ่ายวิจัยฯ ได้คัดหุ้นเด่นหวังนโยบายการเงินจะเข้า มาสนับสนุนในระยะต่อไป
สรุป ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มผ่อนคลายการด่าเนินนโยบายการเงินมากขึ้น เพื่อ กระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นจีน สหรัฐ รวมถึงไทยที่มีโอกาสสูงในการหยุดขึ้น ดอกเบี้ย ซึ่งภาวะด้งกล่าวคาดช่วยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ฝ่าย วิจัยฯ แนะน่าหุ้นเด่นหวังนโยบายการเงินจะเข้ามาสนับสนุนในระยะต่อไป อาทิ SINGER SAWAD TIDLOR MTC JMT
แม้ GDP 3Q66 จะต่ำสุดของปี...แต่ถัดไปจะสดใสขึ้น
วานนี้มีรายงาน GDP ไทย 3Q66 +1.5%YOY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.2%YOY) และ +0.8QOQ (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 1.3%QOQ) ท่าให้ GDP 9M66 โต +1.9%YOY แม้ ภาพรวมจะโตน้อยจากแรงกดดันภาคการส่งออกสินค้า (-3.1%) และการใช้จ่าย ภาครัฐ (-4.9%) แต่การขยายตัว GDP ไทย 3Q66 หลักๆ มาจากการบริโภค (+8.1%) -CPALL DOHOME TAN CRC BJC CPAXT การลงทุนรวม (+1.5%) - WHA AMATA และการส่งออกบริการ (23.1%) - ERW CENTEL MINT
ขณะที่ สศช. ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปี 66 ลงจากกรอบ 2.5 – 3.0% เหลือ 2.5% ท่าให้ 4Q66 จะต้องโตราว 4.07% ในส่วนของเศรษฐกิจปี 67 สคช. คาดอยู่ที่ 3.2%(ยังไม่รวม DIGITAL WALLET) ซึ่งมีแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภาคเอกชนรัฐ /ภาคการท่องเที่ยว และยังต้องกระตุ้นการส่งออก รวมถึงดึงดูดอุตสาหกรรม เป้าหมาย ดังนั้นการที่ GDP ไทยโตน้อยกว่าคาด บวกกับอัตราเงินเฟ้อของไทยใน ระยะถัดไปมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง(เข้าสู่ภาวะเงินฝืด) อาจเป็นปัจจัยหนุนให้ กนง. ด่าเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายลงในการประชุมปลายเดือนนี้ และถือเป็น การเพิ่ม UPSIDE ของ TARGET SET INDEX ไปในตัว
ขณะที่วันนี้จะมีการประชุม ครม. ซึ่งมีประเด็น ดังนี้
คลังเตรียมเสนอมาตรการ E-REFUND ส่าหรับประชาชนทุนคน
คลังตั้งกองทุน THAILAND ESG FUND เพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มอีก 1แสน บาท/คน
ส่านักงบประมาณ เสนอกรอบงบประมาณรายจ่ายประจ่าปี 2566 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท (คาดประกาศใช้ เม.ย. 67)
สรุป แม้ GDP 3Q66 ออกมาต่ำกว่าคาด แต่คาดเป็นจุดต่ำสุดของปี พร้อมเติบโต นับตั้งแต่ 4Q66 -2567 จากการบริโภคภาคเอกชน-รัฐ /ภาคการท่องเที่ยว เป็นหลัก ขณะที่ กนง.มีโอกาสด่าเนินนโยบายทางการเงินผ่อนคลายลง ลุ้นเป็นตัวเปิด UPSIDE ของ TARGET SET INDEX ในระยะถัดไป ขณะที่วันนี้คาดกรอบการ เคลื่อนไหวของ SET INDEX อยู่ที่ 1410-1430 จุด
แม้สภาพคล่องยังเบาบาง แต่ SET INDEX ก็ยังทยอยฟื้นตัว 4 วันติด 33 จุด
แม้สภาพคล่องยังเบาบาง โดยวานนี้ SET INDEX มีมูลค่าซื้อขายรวม 3.3 หมื่นล้าน บาท น้อยกว่าค่าเฉลี่ยในเดือนนี้ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท โดยวานนี้สัดส่วนการซื้อขาย ของนักลงทุนรายย่อยลดลงเหลือ 1.2 หมื่นล้านบาท/วัน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในเดือนนี้อยู่ ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท/วัน แต่ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังค่อยๆ ทยอยฟื้นตัว โดยปรับตัว เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 วันท่าการที่ผ่านมา ถึง +33 จุด หรือ +2.4% และเดือนนี้ SET INDEX ปรับตัวขึ้นมา39 จุด หรือ 2.72% มาอยู่ที่ 1419 จุด
ภายใต้สภาพคล่องที่เบาบาง แต่ช่วงที่เหลือของปีคาดหวัง SET INDEX มีโอกาส ค่อยๆ ทยอยฟื้นตัวจากการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังที่เข้มขึ้น หลังตัว ตัวเลข GDP3Q66 ยังโตน้อยเพียง 1.5%YOY และนโยบายการเงินมีแนวโน้มผ่อน คลายลง (การขึ้นดอกเบี้ยจบรอบ) พร้อมกับ VALUATION ของ SET ยังน่าสนใจ โดย มีPER67F อยู่ที่ 14.2 เท่า, PBV 1.37 เท่า
กลยุทธ์แนะน่า หุ้นอิงการกระตุ้นภาคอุปโภคบริโภค CPALL (BK:CPALL), CRC, CPAXT, MINT, ERW, CENTEL และหุ้นนโยบายการเงินมีแนวโน้มค่อยๆ ผ่อนคลายลง TIDLOR, TISCO, SIRI, AWC, CPN, CPNREIT
ส่วน TOPPICK วันนี้เลือก CPN, SIRI, TISCO
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities