ตัวเลข GDP 3Q66ของสหรัฐออกมาดีกว่าที่คาด Bond Yield ปรับลดลง ขณะที่ Fed Watchtool แสดงโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบที่เหลือของปี 2566 แทบจะไม่มี ดังนั้นองค์ประกอบดังกล่าวไม่น่าจะมีส่วนในการกดดัน SET Index วานนี้ ส่วนปัจจัยที่เป็นต้นเหตุเราประเมินว่า เป็นภาวะการขาดความ เชื่อมั่น และ Fund Flow ที่ไหลออก ต้นเหตุประการสำคัญอาจมาจากความกังวล เรื่อง สงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่ยังรุนแรงและมีความเสี่ยงต่อการขยายวง และ จากการประเมินสถานการณ์ก็เชื่อว่าภาวะดังกล่าวยังคงอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เราคงความเห็นว่าการ Trading ระยะสั้นมีความเสี่ยง ระดับสูง แนวทางที่เหมาะสมคือ การทำ Buy & Hold โดยเลือกหุ้นพื้นฐานดีและมี เงินปันผล
เชื่อว่าที่ SET Index ปัจจุบัน Valuation ที่เหมาะสำหรับลงทุนระยะยาว ในมุมของTechnical การปรับลดลงแรงต่อเนื่อง และหลุดระดับแนวรับสำคัญของ SET Indexเป็นสัญญาณเชิงลบ มองแนวรับระดับถัดไปที่ 1350 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1380 จุด หุ้น Top Pickวันนี้เลือก BEM, MAJOR และ PTTGC
แรงกดดันจากเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้นมีน้อยลง
วานนี้มีรายงานตัวเลข GDP สหรัฐฯ ใน 3Q66 ออกมาอยู่ที่ +4.9%QoQ ซึ่งสูงกว่า คาดที่ +4.3%QoQ และยังเป็นการขยายตัวที่มากสุดในรอบ 7 ไตรมาส โดนปรับตัว เพิ่มขึ้นในเกือบทุกองค์ประกอบ เฉพาะอย่างยิ่งภาคการโภคที่ +4.0%QoQ ภาพรวม ดังกล่าวส่งผลให้ความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจแบบ Hard Landing มีน้อยลง ขณะที่แรงกดดันในการเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed มีแนวโน้มจะเบาลง สะท้อน จาก Bond Yield สหรัฐ 10 ปี ร่วงลงมาอยู่ที่ 4.8% และ Bond Yield สหรัฐ 2 ปี ลดลง มาอยู่ที่ 5.0% ซึ่งถือว่าเป็นระดับต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 5.5%
อีกมุมหนึ่งยังสะท้อนได้จากผลสำรวจของ Fed Watch Tool ล่าสุดให้น้ำหนักเกือบ 100% ที่ Fed จะคงดอกเบี้ย 5.5% ในการประชุมวันที่ 1 พ.ย. นี้ และมีโอกาสตรึงไว้ที่ ระดับดังกล่าวไปจนถึงช่วงกลางปี 2567
นอกจากนี้ผลจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้ เริ่มเห็นสัญญาณการเข้าสู่โซนทรงดอกเบี้ยในระยะถัดไป โดยล่าสุด ECB มีมติคง ดอกเบี้ยไว้ที่ 4.5% ตามคาด หลังเงินเฟ้อชะลอตัว (เดือน ก.ย. +4.3%YoY) และ PMI ภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัวมานาน (PMI
สรุป เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้ดี ส่งผลให้ความกังวลต่อการชะลอตัวของ เศรษฐกิจแบบ Hard Landing มีน้อยลง ขณะที่ผลจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางต่างๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการเข้าสู่โซนทรง ดอกเบี้ยในระยะถัดไป อีกทั้งแรงกดดันจากเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้นมีน้อยลงเรื่อยๆ
สงครามอิสราเอล-ฮามาส กดดันตลาดหุ้นตั้งแต่เกิดสงคราม
ตั้งแต่ 7 ต.ค.66(จุดเริ่มต้นของสงครามอิสราเอล-ฮามาส) SET Index ปรับตัวลงแรง กว่า -68 จุด หรือ -4.7% จนล่าสุดอยู่ที่ระดับ 1371.22 จุด ซึ่งพัฒนาการของ เหตุการณ์สู้รบระหว่างกันได้ดำเนินมาเรื่อยๆ จนมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้ง 2 ฝ่ายกว่า 7000 คน อย่างไรก็ตามล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น หลัง The Wall Street Journal รายงานว่า อิสราเอลได้ตอบตกลงตามคำขอของสหรัฐฯ ให้ ชะลอการบุกโจมตีภาคพื้นดินเข้าสู่ฉนวนกาซา นอกจากนี้ยังมีความพยายาม ทางการทูตเพื่อให้กลุ่มฮามาสปล่อยตัวตัวประกันอีกราว 200 คน ที่จับตัวไว้ประเด็น ดังกล่าวจึงทำให้ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลง -2%วานนี้ และปิดที่ระดับ 87 เหรียญฯ/บาร์เรล
จึงทำให้นักลงทุนประเมินว่า สงครามครั้งนี้อาจไม่ขยายวงกว้างที่มีประเทศอื่นเข้ามา เกี่ยว และไม่ขยายความรุนแรง เฉกเช่นสงครามรัสเซีย-ยูเครนในอดีต ทำให้ราคา น้ำมันดิบไม่ได้ปรับตัวขึ้นแรง และทรงตัวในระดับ 80-85 เหรียญฯ/บาร์เรล เนื่องจาก อิสราเอลและปาเลสไตน์ต่างก็ไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก
สรุป การสู้รบกันระหว่างประเทศระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาสที่อาจไม่มีการขยาย วงกว้างสู่ประเทศอื่นอย่างที่นักลงทุนกังวลไว้ตอนแรก ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะ ประเด็นนี้ ฝ่ายวิจัยฯคาดว่าตลาดหุ้นซึมซับกัลประเด็นนี้ไปมากแล้ว ทำให้ช่วงเวลาถัดไป อาจเริ่มเห็นการโยกย้ายเม็ดเงินอาจเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นมากขึ้น โดยวันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว SET Index 1350-1380 จุด
SET ตก 30 จุด ท่าระดับต่่าสุดในรอบ 30 ปี…รับมืออย่างไร?
วานนี้SET Index ตกแรง 30.48 จุด มาอยู่ที่ 1371.22 จุด แรงกดดัน 1 ใน 3 เกิดจาก การย่อตัวของหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯ DELTA -10%, KCE -7.5% ที่ปรับตัวลงแรงตามหุ้น Tech เมืองนอก และหุ้นกลุ่ม Domestic ลงแรง อาทิ CPAXT -5.1% CPALL (BK:CPALL) -2.6% TRUE -3.8% KBANK (BK:KBANK) -2.6% จากความกังวลเรื่องกระเป๋าตังค์ดิจิตอลที่อาจได้ไม่ ครบทุกคน และถูกยืดระยะออกไปได้
ภายใต้ตลาดหุ้นที่ยังผันผวนอยู่ แต่ Valuation ตลาดฯ น่าสนใจมาก ทั้ง PBV -1.34 เท่า (ต่ำกว่า -2SD) และ P/E 15.5 เท่า (อยู่ในระดับ -1.5 SD) ปกติอยู่ในระดับต่ำกว่า -1SD มีโอกาสสู่ที่จะรีบาวน์สั้นๆ ในระยะถัดมา
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities