End of the Hike-way = Buy / SETCOM is the winner
• คาด SET Index มีโอกาสปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นอื่นได้ใน เดือนตุลาคมนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นโลกอาจยังถูกกดดันจาก กระบวนการ Price in การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่ยังไม่สิ้นสุด (ล่าสุดอยูที่เพียง 42%) ผิดกับทางฝั่งไทย ที่เห็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้ง สุดท้ายของวงจรนี้แล้ว ซึ่งในอดีต มักท่าให้ภาพ SET Index ปรับตัวดีขึ้น ได้ (รายละเอียดด้านล่าง)
• Strategy: ในเชิงกลยุทธ์ จากการที่ SET Index ปรับตัวลงมา โกว่า ระดับ 1500 จุดแล้วนั้น ท่าให้แต้มต่อทางด้าน Valuation มีสูงขึ้น เราจึง แนะนําาต่อเนื่องจากวานนี้ให้ใช้จังหวะดังกล่าวในการทยอยเข้าสะสมหุ้นใน กลุ่มที่เรามองว่าน่าจะมีความแข็งแกร่งกว่าตลาดในระยะสั้น ได้แก่
1) กลุ่มที่อิงกับภาคการส่งออก อาทิ KCE, HANA, AAI, ITC, CPF, BTG, GFPT, TU
2) กลุ่มเดินเรือและ Logistics อาทิ PSL, RCL, III, LEO, SJWD, WICE,
3) กลุ่มโรงพยาบาล อาทิ BDMS, BH, BCH, CHG รวมถึงกลุ่มที่เราคาดว่าจะเป็นพระเอกหลักในช่วงไตรมาสที่ 4 นั่นก็คือกลุ่ม ที่อิงกับการบริโภคภายในประเทศ อาทิ CPALL (BK:CPALL), CPAXT, BJC, CRC, HMPRO, GLOBAL, DOHOME, TNP, MENA
• MPC: ผลการประชุมกนง.เมื่อวานนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในช่วงถัดไปอยู่ในกรอบที่ทาง ธปท.ประเมินไว้ การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้ง สุดท้ายของวงจรนี้แล้ว (Neutral rate) แม้ธปท.จะมีการปรับลด คาดการณ์ GDP ปีนี้ลงในครั้งนี้ แต่อย่างที่เราเรียนไว้ก่อนหน้านี้ว่าเป็นสิ่งที่ ตลาดรับรู้อยู่แล้ว แถมยังได้มีการปรับประมาณการ GDP ปีหน้าขึ้นอีก จากแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนที่สูงขึ้น
• Upgrade C: โดยในครั้งนี้ ธปท.ได้กล่าวถึงมาตรการของภาครัฐทั้งที่ออก มาแล้วอย่างเช่นการลดค่าครองชีพ และมาตรการที่จะออกต่อเนื่องในช่วง ถัดไปอย่างเช่นการขึ้นค่าแรงขั้นต่าและมาตรการดิจิตอล Wallet เหล่านี้ ล้วนแต่จะทําให้แนวโน้มการบริโภคของไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้และหน้า มีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นได้ สะท้อนผ่านการปรับเพิ่มคาดการณ์การบริโภค ภาคเอกชนทั้งในส่วนของปีนี้และปีหน้าขึ้นอย่างสําคัญ (+6.1% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 4.4%, +4.6% ในปีหน้า เพิ่มขึ้นจาก 2.9%)
• Winner: มองกลุ่มค้าปลีก (SETCOM) เป็นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ที่สุด จากสัญญาณการส่งออกมาของธปท.ในครั้งนี้ ไม่นับรวมกับประโยชน์ที่ได้ จากมาตรการลดค่าไฟต่างๆที่ออกมาซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของกลุ่ม รวมถึง Upside จากนัก ท่องเที่ยวต่างชาติจากมาตรการฟรีวีซ่า และที่ สําคัญยังคงเป็น Sector ที่ปรับตัว Underperform ตลาดหากนับตั้งแต่ต้น ปีที่ผ่านมาอีกด้วย (-14% vs. -10%)
• End of cycle: ทั้งนี้ สําหรับประเด็นเงินเฟ้อ เราค่อนข้างมั่นใจว่าหาก ราคาน้ามันดิบไม่ได้เดินหน้าเกินกว่าระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรลขึ้นไป อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่จะพลิกกลับมาขยายมัวมากขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้นั้นจะ อยู่ในระดับที่ธปท.ยอมรับได้ และการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้น่าจะเป็นครั้ง สุดท้ายของวงจรนี้ได้ ดูจาก Statement ที่ออกมามีการส่งสัญญาณว่า อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันได้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวทาง เศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวแล้ว
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities