บทวิเคราะห์สำคัญ : ทำไมราคาทองคำถึงมีการปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ ทั้งๆที่ดัชนี PMI ของสหรัฐออกมาดีกว่าคาด
ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศตัวเลขดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐประจำเดือนกุมภาพันธ์ออกมาด้วยกัน 2 ตัวนะครับ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ครับ
ในเวลา 21:45 ได้มีประกาศตัวเลขดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐประจำเดือนกุมภาพันธ์จากสถาบัน S&P Global ซึ่งเป็นสถาบันภาคเอกชน เราไปดูรายละเอียดกันครับ
เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.6 ในเดือนก.พ. จากระดับ 46.8 ในเดือนม.ค. และสูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 50.5
ดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวในภาคบริการของสหรัฐ หลังจากหดตัวติดต่อกัน 7 เดือน
ดัชนี PMI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของการจ้างงานแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2565 และคำสั่งซื้อใหม่ได้ชะลอการปรับตัวลง ขณะที่ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจสำหรับช่วง 1 ปีข้างหน้าพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2565 หลังคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ
ตัวเลขนี้ออกมาดีกว่าคาดการณ์ และออกมาดีกว่าตัวเลขครั้งก่อนเป็นอย่างมาก โดยดัชนี PMI ภาคบริการของสหรัฐได้กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน
ตัวเลขดังกล่าวได้หนุนดัชนีดอลลาร์ให้มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยไปที่ระดับ 104.80 จุด และกดดันราคาทองคำให้มีการย่อตัวลงเล็กน้อยไปที่ระดับ 1842$ เพื่อรอการประกาศตัวเลขในตอน 22:00 ต่อไป
และในเวลา 22:00 ได้มีการประกาศตัวเลขสำคัญออกมาอีกชุดหนึ่ง นั่นคือ การประกาศตัวเลขดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐประจำเดือนกุมภาพันธ์เช่นเดียวกัน แต่จะเป็นการประกาศออกมาจากสถาบัน ISM ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของสหรัฐ ดังนั้นการประกาศตัวเลขนี้จึงถือได้ว่า...เป็นการประกาศตัวเลขดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐประจำเดือนกุมภาพันธ์อย่างเป็นทางการนั่นเอง
และการประกาศตัวเลขดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐประจำเดือนกุมภาพันธ์จากสถาบัน ISM นี้ มีรายละเอียดดังนี้ครับ
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 55.1 ในเดือนก.พ. แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 54.5 จากระดับ 55.2 ในเดือนม.ค.
ดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวในภาคบริการของสหรัฐ โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของการจ้างงานและคำสั่งซื้อใหม่แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี
ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM ประกอบด้วยอุตสาหกรรม 17 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง และเหมืองแร่
ดัชนีภาคบริการสหรัฐประจำเดือนกุมภาพันธ์จากการประกาศของสถาบัน ISM ได้ออกมาสูงกว่าคาดนะครับ ในขณะที่ดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวในภาคบริการของสหรัฐ โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของการจ้างงานและคำสั่งซื้อใหม่แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี
ตัวเลขนี้ได้หนุนดัชนีดอลลาร์ให้มีการปรับตัวขึ้นต่อ จากระดับ 104.80 จุด ไปที่ระดับ 105.00 จุด จากการที่ตัวเลขที่ได้ออกมานี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐในภาคการบริการ ซึ่งมีขนาดเป็น 60% ของ GDP สหรัฐทั้งหมดยังคงมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในเดือนกุมภาพันธ์ ถึงแม้จะมีการชะลอตัวเล็กน้อยจากเดือนมกราคม และเพิ่มความเป็นไปได้มากขึ้นเรื่อยๆที่อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐจะมีการชะลอตัวลงน้อยกว่าที่คาด และกดดันให้เฟดจะต้องเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ลดลงสู่เป้าหมาย 2.00% ของเฟดต่อไป
ในขณะเดียวกัน ตัวเลขนี้ยังบ่งชี้ถึงตลาดแรงงานที่ยังคงมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จากตัวเลขดัชนีการจ้างงานนอกภาคการผลิต(ซึ่งก็คือดัชนีการจ้างงานภาคการบริการนั่นเอง) ที่ออกมาที่ 54.0 ในเดือนกุมภาพันธ์ จาก 50.0 ในเดือนมกราคม และเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบกว่า 1 ปี และบ่งชี้ว่า...ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร(หรือตัวเลข Non-Farm Payrolls)ที่จะมีการประกาศออกมาในวันศุกร์ที่จะถึงนี้มีโอกาสออกมาสูงกว่าคาดการณ์ด้วยเช่นกัน
แต่การประกาศตัวเลข Non-Farm Payrolls ในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ เราจะต้องพิจารณาตัวเลขทั้งหมด 4 ตัวนะครับ ซึ่งจะได้เขียนบทวิเคราะห์ในเรื่องนี้อย่างละเอียดต่อไป
และจากตัวเลขดัชนีภาคบริการสหรัฐประจำเดือนกุมภาพันธ์จากการประกาศของสถาบัน ISM ที่ได้ออกมาสูงกว่าคาดนี้ได้กดดันราคาทองคำให้มีการย่อตัวลงต่อ จากระดับ 1842$ ลงมาที่ระดับ 1838$ นั่นเอง
แล้วทำไมราคาทองคำถึงได้มีการปรับตัวขึ้นหลังจากนั้น ก่อนที่จะปิดตลาดด้วยราคาใกล้ๆ 1856$
ราคาทองคำได้มีการพลิกฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง และมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงท้ายตลาด ด้วยเหตุผลทั้งหมด 4 ข้อดังนี้ครับ
1. คำกล่าวของประธานเฟดแอตแลนตา กดดันดัชนีดอลลาร์ หนุนราคาทองคำ
นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดนั้น อาจจะเริ่มปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ (มี.ค.-พ.ค.) ซึ่งทำให้เขามองว่า เฟดควรจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีต่อเศรษฐกิจ
"ผมสนับสนุนให้เฟดชะลอความแรงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยมองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% อย่างต่อเนื่องถือเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะเริ่มปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ และผมเชื่อว่าการชะลอความแรงในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา" นายบอสติกกล่าว
การแสดงความเห็นดังกล่าวของนายบอสติกช่วยให้ตลาดการเงินผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่รายอื่น ๆ ของเฟดซึ่งรวมถึงนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ ความเห็นล่าสุดของนายบอสติกยังส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของเฟด ปรับตัวลงสู่ระดับ 4.885% จากระดับสูงสุดในรอบ 15 ปีที่ 4.944% และเป็นปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดพุ่งขึ้นเกือบ 400 จุดในวันศุกร์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี นายบอสติกกล่าวว่า เขาพร้อมที่จะสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในระดับที่สูงขึ้น หากไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อชะลอตัวลง และยังกล่าวด้วยว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาดอาจจะส่งผลให้เฟดปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในอนาคต
2. การพุ่งขึ้นของสกุลเงินปอนด์ในช่วงท้ายตลาดหลังจากดัชนี PMI ภาคบริการของอังกฤษได้มีการขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ได้กดดันดัชนีดอลลาร์ และหนุนราคาทองคำ
เอสแอนด์พี โกลบอล/ซีไอพีเอส เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหราชอาณาจักร ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.3 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2565 จากระดับ 48.7 ในเดือนม.ค.
ดัชนี PMI อยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวในภาคบริการของสหราชอาณาจักร โดยเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 6 เดือน
ดัชนี PMI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่แตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน ขณะที่การจ้างงานปรับตัวขึ้นเช่นกัน และภาคธุรกิจเพิ่มความเชื่อมั่นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ขณะที่คลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ
3. ดัชนี PMI ภาคบริการจีนเดือนก.พ.แข็งแกร่งสุดในรอบ 6 เดือน อานิสงส์ยุติซีโร่โควิด ได้หนุนสกุลเงินหยวนให้มีการปรับตัวแข็งค่าขึ้น และหนุนราคาทองคำ
ไฉซิน/เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.พ.ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 6 เดือน เนื่องจากการยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของอุปสงค์ผู้บริโภค และการจ้างงานที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.พ.ของจีนพุ่งขึ้นแตะระดับ 55.0 จากระดับ 52.9 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเดือนที่ 2 หลังจากรัฐบาลจีนประกาศยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
ดัชนี PMI ที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการของจีนมีการขยายตัว
ผลสำรวจของไฉซิน/เอสแอนด์พี โกลบอลสอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ซึ่งรายงานเมื่อวันพุธ (1 มี.ค.) ว่า ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.พ.อยู่ที่ระดับ 56.3 พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากระดับ 54.4 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19
4. เหตุการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนในประเด็นไต้หวัน ทำให้นักลงทุนถือทองคำไว้ก่อนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
กระทรวงกลาโหมสหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐอนุมัติการขายขีปนาวุธและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เกี่ยวข้องให้กับไต้หวันในราคา 619 ล้านดอลลาร์ เพื่อการใช้งานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ F-16
ทั้งนี้ การอนุมัติเรื่องการขายอาวุธให้กับไต้หวันโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐและการแจ้งอย่างเป็นทางการต่อสภาคองเกรสภายในวันเดียวกันนั้น เสี่ยงที่จะทำให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนลุกเป็นไฟ โดยจีนถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนตนและจะเข้ายึดครองไต้หวันด้วยกำลังหากจำเป็น
ในขณะที่จีนส่งเครื่องบินรบบินเข้าใกล้ไต้หวันเป็นจำนวนมากที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือน โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่สหรัฐอนุมัติขายอาวุธมูลค่า 619 ล้านดอลลาร์ให้กับไต้หวัน
กระทรวงกลาโหมไต้หวันระบุบนทวิตเตอร์ว่า ตรวจพบเครื่องบินขับไล่ J-10 ประมาณ 17 ลำ และเครื่องบินขับไล่ J-16 จำนวน 4 ลำ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาจนถึงช่วงเช้ามืดของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเผยแพร่แถลงการณ์เมื่อวานนี้ (1 มี.ค.) ระบุว่า สหรัฐอนุมัติขายกระสุน F-16 และยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ให้กับไต้หวัน โดยผู้ค้ารายหลักคือเรย์เธียน มิสไซล์ แอนด์ ดีเฟนส์ (Raytheon Missiles & Defense) และล็อกฮีด มาร์ติน คอร์ป (Lockheed Martin Corp) ซึ่งเป็นสองบริษัทที่จีนสั่งคว่ำบาตรเมื่อเดือนที่แล้ว เนื่องจากขายอาวุธให้กับไต้หวัน
ด้านนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เพิ่งลดแรงกดดันทางทหารเหนือไต้หวันซึ่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการครองอำนาจครบ 1 ทศวรรษ ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะไต้หวันกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้า โดยคู่เจรจาที่จีนต้องการคือพรรคก๊กมินตั๋งที่เป็นฝ่ายค้าน และมีโอกาสได้รับชัยชนะ
ถึงกระนั้น การที่สหรัฐขายอาวุธให้กับไต้หวันได้สร้างความไม่พอใจให้กับจีน และจีนเล็งเห็นว่าเป็นการยั่วยุ โดยก่อนหน้านี้กองทัพปลดปล่อยประชาชนของจีนได้ส่งเครื่องบินรบ 47 ลำเข้าสู่เขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศของไต้หวันเมื่อเดือนธ.ค. 2565 หลังจากที่สหรัฐอนุญาตให้ขายอาวุธให้ไต้หวันมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงระยะเวลา 5 ปี
และล่าสุดคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ได้ประกาศข้อจำกัดการส่งออกสินค้าให้กับบริษัทจีนอีกหลายสิบแห่ง รวมถึงอินสเปอร์ กรุ๊ป (Inspur Group) ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ และหน่วยงานของบีจีไอ รีเสิร์ช (BGI Research) บริษัทวิจัยพันธุกรรม โดยสหรัฐระบุว่าบริษัทเหล่านั้นดำเนินกิจกรรมที่ขัดต่อความมั่นคงของชาติและผลประโยชน์ด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้เพิ่มรายชื่อบริษัทจำนวนหนึ่งเข้าไว้ในบัญชีดำ (Entity List) สำหรับความพยายามที่จะนำเข้าสินค้าที่มาจากสหรัฐ เพื่อสนับสนุนความพยายามในการปรับปรุงกองทัพจีนให้ทันสมัย รวมถึงการสนับสนุนกองทัพรัสเซีย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัทที่ถูกแบนนั้นรวมถึง อินสเปอร์ กรุ๊ป ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ในเครือของรัฐที่ได้รับประโยชน์จากการสร้างศูนย์ข้อมูลทั่วประเทศ และบริษัทหลงซัน (Loongson) ผู้ผลิตซีพียูของจีน
นอกจากนี้ อีกบริษัทหนึ่งที่กระทรวงฯ ระบุถึงได้แก่ 4พาราไดม์ เทคโนโลยี (4Paradigm Technology) ซึ่งเป็นยูนิคอร์นด้าน AI ที่กำลังมาแรง และได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของโลก เช่น ซีคัวญ่า แคปปิตอล (Sequoia Capital) และโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป (Goldman Sachs Group)
ทั้งนี้ บรรดาบริษัทของสหรัฐได้ถูกสั่งห้ามไม่ให้ส่งออกสินค้าไปยังบริษัทดังกล่าวโดยไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลก่อน โดยรัฐบาลสหรัฐได้อ้างถึงความกังวลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับกลุ่มบริษัทเหล่านี้ซึ่งได้แก่ การสนับสนุนการปรับปรุงกองทัพจีนให้ทันสมัย และการมีส่วนร่วมในโครงการขีปนาวุธ
และทั้งหมดนี้ก็คือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ราคาทองคำยังคงมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งๆที่ดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐได้ออกมาดีกว่าคาดการณ์ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ทั้งดัชนี PMI ภาคการบริการของจีนและอังกฤษก็ได้ออกมาดีเป็นอย่างมากเช่นกัน
ส่วนแนวโน้มของราคาทองคำในวันจันทร์นี้ยังคงมีแนวโน้มลงนะครับ โดยราคาทองคำอาจขึ้นไปอีกเล็กน้อยที่บริเวณ 1858-1860$ ก่อนที่จะมีการย่อตัวลงมาที่บริเวณ 1840$ ก่อนที่จะมีการปรับตัวลงสู่ระดับ 1828$ ซึ่งเป็นเป้าหมายของราคาทองคำในสัปดาห์นี้ครับ