รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลง ทำให้ราคาทองคำ และ BTC ยังคงฟื้นตัวขึ้นไม่ได้ Part 2

เผยแพร่ 16/09/2565 23:35
อัพเดท 09/07/2566 17:32

หุ้นยุโรปเปิดตลาดในแดนลบวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับคำเตือนเรื่องเศรษฐกิจถดถอย และคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในการประชุมสัปดาห์หน้า

ดัชนี STOXX 600 เปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 412.83 จุด ลดลง 1.95 จุด หรือ -0.47% โดยมีแนวโน้มปรับตัวลงกว่า 2% เมื่อเทียบรายสัปดาห์

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีเปิดวันนี้ที่ 12,814.92 จุด ลดลง 141.74 จุด หรือ -1.09% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสเปิดวันนี้ที่ 6,100.79 จุด ลดลง 57.05 จุด หรือ -0.93%

หุ้นสำคัญของยุโรปปรับตัวลงทุกกลุ่ม โดยหุ้นกลุ่มการเดินทางและนันทนาการร่วงนำตลาด

ธนาคารโลกคาดการณ์ในวันพฤหัสบดี (15 ก.ย.) ว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเข้าใกล้ภาวะถดถอยในปี 2566 ขณะที่ ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้ออันยืดเยื้อ

ส่วนนายเจอร์รี ไรซ์ โฆษกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง และคาดว่าเศรษฐกิจของบางประเทศจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2566 อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะลุกลามเป็นวงกว้างทั่วโลก

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2565 ลงสู่ระดับ 3.2% และปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2566 ลงเหลือ 2.9% ส่วนตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจโลกครั้งใหม่นั้น จะมีการเปิดเผยในเดือนหน้า

สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป (ACEA) เปิดเผยในวันนี้ (16 ก.ย.) ว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ในยุโรปปรับตัวขึ้นในเดือนส.ค. หลังจากที่ปรับตัวลดลงติดต่อกัน 13 เดือน

ACEA ระบุว่า จำนวนรถยนต์ใหม่ที่จดทะเบียนในสหภาพยุโรป (EU), สหราชอาณาจักร และสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ปรับตัวขึ้น 3.4% สู่ระดับ 748,961 คันในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี

ในสหภาพยุโรป จำนวนรถยนต์ใหม่ที่จดทะเบียนปรับตัวขึ้น 4.4%

นอกจากนี้ ตลาดสำคัญทั้ง 4 แห่งของ EU ได้แก่ สเปน อิตาลี เยอรมนี และฝรั่งเศสนั้น ก็มีรายงานการจดทะเบียนรถยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยในวันนี้ (16 ก.ย.) ว่า ยอดค้าปลีกของอังกฤษปรับตัวลง 1.6% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ย่ำแย่กว่าคาดการณ์ และเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2564 เมื่อคิดจากปริมาณ

ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ในผลสำรวจที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่า ยอดค้าปลีกของอังกฤษจะปรับตัวลดลง 0.5% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน

ONS ระบุว่า "ภาคส่วนสำคัญทั้งหมด ทั้งภาคร้านจำหน่ายอาหาร และร้านค้าที่ไม่ใช่ร้านจำหน่ายอาหาร รวมถึงภาคค้าปลีกที่ไม่มีหน้าร้าน และเชื้อเพลิง ต่างปรับตัวลดลงในเดือนส.ค. โดยกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายในเดือนก.ค. 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่ยกเลิกมาตรการจำกัดต่อภาคบริการทั้งหมด"

นายหลุยส์ เดอ กวินโดส รองประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เอ็กซ์เพรสโซของโปรตุเกสว่า ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือถดถอยของยูโรโซนนั้นยังไม่เพียงพอที่จะควบคุมเงินเฟ้อ โดย ECB จะต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไป

"เศรษฐกิจชะลอตัวเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอที่จะช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ" นายกวินโดสกล่าวในวันนี้ (16 ก.ย.)

"เศรษฐกิจชะลอตัวจะช่วยลดแรงกดดันด้านอุปสงค์ ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลดลง แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องดำเนินการด้านนโยบายการเงิน เพื่อควบคุมอัตราคาดการณ์เงินเฟ้อควบคู่กันไปด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการปรับขึ้นราคาสินค้าตามอัตราคาดการณ์เงินเฟ้อล่วงหน้า" นายกวินโดสกล่าว

นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า การดำเนินการของ ECB อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ ECB จะให้ความสำคัญสูงสุดต่อการรักษาเสถียรภาพของราคา

"มีความเป็นไปได้ที่การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยอาจกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่นี่เป็นความเสี่ยงที่เราจำเป็นต้องรับไว้ เนื่องจากการรักษาเสถียรภาพของราคาถือเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญ" นางลาการ์ดกล่าว

นางลาการ์ดระบุว่า ในการกำหนดนโยบายการเงิน ECB จะต้องพิจารณาทุกองค์ประกอบที่ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ รวมทั้งความเสี่ยงที่จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ด้านสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซนพุ่งขึ้นสู่ระดับ 9.1% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่ยูโรสแตทเริ่มรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2540 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.0% จากระดับ 8.9% ในเดือนก.ค.

นอกจากนี้ ดัชนี CPI ยังสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ ECB กำหนดไว้ที่ระดับ 2%

ทั้งนี้ ดัชนี CPI ของยูโรโซนทำสถิติปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 9 เดือน โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาอาหารและพลังงาน ขณะที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนที่แผ่กระจายไปทั่วยุโรป รวมทั้งการทำสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ ECB ให้ความสำคัญ ดีดตัวสู่ระดับ 5.5% ในเดือนส.ค. จากระดับ 5.1% ในเดือนก.ค.

นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยในวันพฤหัสบดี (15 ก.ย.) ว่า สหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหม่ต่ออุตสาหกรรมกลาโหมและข่าวกรองทางทหารของรัสเซีย รวมถึงผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าขโมยพืชผลจากยูเครน โดยมีเป้าหมายที่จะจำกัดความสามารถในการทำสงครามของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย

นายบลิงเกนระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐจะประกาศคว่ำบาตรองค์กรด้านกลาโหม เทคโนโลยี และอิเล็กทรอนิกส์ 31 แห่งของรัสเซีย ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐประกาศคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัสเซีย 22 ราย รวมถึงบุคคลที่ดูแลการยึดหรือขโมยธัญพืชหลายแสนตันจากยูเครน

นายบลิงเกนกล่าวว่า กลุ่มที่ถูกคว่ำบาตรในวันนี้เป็นตัวอย่างของพฤติกรรมที่เหมือนกับการทำสงครามที่ไม่มีการยั่วยุของรัฐบาลรัสเซีย"

นายบลิงเกนระบุเสริมว่า การคว่ำบาตรในครั้งนี้ยังรวมไปถึงการควบคุมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ต่อสินค้าต่าง ๆ ที่เบลารุสและรัสเซียอาจใช้เพื่อเป็นอาวุธเคมีหรืออาวุธชีวภาพ นอกจากนี้ สหรัฐยังคว่ำบาตรหน่วยข่าวกรองทางทหารของรัสเซีย ซึ่งถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการบังคับเนรเทศและแยกเด็ก ๆ ชาวยูเครนออกจากพ่อแม่

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การคว่ำบาตรครั้งล่าสุดนี้เป็นหนึ่งในมาตรการคว่ำบาตรเป็นวงกว้างที่สหรัฐและชาติพันธมิตรประกาศในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างอิงเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวังบักกิงแฮมระบุว่า พระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 19 กันยายน เวลา 11.00 น.ตามเวลาอังกฤษ หรือ 17.00 น.ตามเวลาไทย

ทั้งนี้ ผังรายการประจำวันที่ 19 กันยายนของสำนักข่าว CNN ระบุว่า ทางสถานีจะถ่ายทอดสดพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ตั้งแต่เวลา 15.00 น.ตามเวลาไทย จนถึงเวลา 24.00 น.

ขณะนี้ หีบพระบรมศพแห่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ได้ถูกประดิษฐานไว้ที่เวสต์มินสเตอร์ ฮอลล์ และเมื่อถึงวันที่ 19 กันยายนจะมีพิธีอัญเชิญพระบรมศพไปประกอบรัฐพิธีที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นพิธีจะมีการเคลื่อนพระบรมศพเพื่อประกอบพิธีฝังที่โบสถ์น้อยเซนต์จอร์จภายในปราสาทวินด์เซอร์

มีการคาดการณ์กันว่า ผู้นำและประมุขของชาติต่างๆราว 2,000 คนจะเดินทางเข้าร่วมพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 โดยผู้นำสหรัฐ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมทั้งประเทศต่างๆที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอังกฤษ ต่างก็ได้ตอบรับเทียบเชิญแล้ว ซึ่งจะทำให้พระราชพิธีพระบรมศพในครั้งนี้ถือเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของผู้นำโลกในรอบหลายปี

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 400 จุดในวันนี้ ท่ามกลางความกังวลที่ว่า การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งผลให้เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอย

ณ เวลา 20.38 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 30,559.06 จุด ลบ 402.76 จุด หรือ 1.3% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 1.45% และดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 1.79%

ราคาหุ้นของบริษัทเฟดเอ็กซ์ คอร์ป ซึ่งถือเป็นมาตรวัดภาวะเศรษฐกิจโลก เนื่องจากบริษัทให้บริการจัดส่งเอกสาร พัสดุ และสินค้าระหว่างประเทศ ดิ่งลงอย่างหนักในวันนี้ หลังบริษัทเตือนว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ

ณ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ราคาหุ้นเฟดเอ็กซ์ร่วงลง 20.53% สู่ระดับ 163.15 ดอลลาร์

นายราช สุบรามาเนียม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเฟดเอ็กซ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย

ทั้งนี้ เฟดเอ็กซ์ประกาศยกเลิกการให้ตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการประจำปีนี้ พร้อมกับเตือนว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะทำให้บริษัทมีรายได้ต่ำกว่าคาดถึง 500 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ เฟดเอ็กซ์ประกาศมาตรการลดค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ โดยลดจำนวนเที่ยวบินขนส่งสินค้า และจะปิดสำนักงานจำนวน 90 แห่ง รวมทั้งเลื่อนการจ้างพนักงานใหม่ หลังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยเฉพาะในเอเชียและยุโรป

บริษัทอะโดบี (Adobe) ประกาศซื้อกิจการฟิกม่า (Figma) ซึ่งเป็นสตาร์ตอัปด้านการออกแบบ UX (User Experience) และ UI (User Interface) ที่บรรดานักพัฒนาซอฟต์แวร์นิยมใช้งานในขณะนี้ โดยการทำธุรกรรมซื้อกิจการครั้งนี้จะอยู่ในรูปของเงินสดและหุ้นคิดเป็นมูลค่ารวม 20,000 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ UX เป็นการออกแบบที่เน้นสร้างประสบการณ์ของผู้ใช้งานในด้านความรู้สึกที่ตอบสนองต่อการใช้งานผลิตภัณฑ์ หรือระบบต่าง ๆ เช่น ความสะดวกสบาย, ใช้งานง่าย และมีความสนุกสนาน ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจหรือมีประสบการณ์ที่ดี ส่วน UI คือส่วนที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับผู้ใช้งาน หรือส่วนที่ให้ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบกับการใช้งานผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการออกแบบ เช่น หน้าจอ, แพลตฟอร์ม, เมนู, การวางภาพ และขนาดตัวอักษร

อะโดบีซึ่งเป็นผู้ออกแบบโปรแกรมโฟโต้ชอปคาดหวังว่า การเข้าซื้อกิจการฟิกม่าจะช่วยเติมเต็มช่องว่างที่ยังขาดอยู่ และเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการสร้างสรรค์งาน และการออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยให้ตลาดของอะโดบีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ข่าวการซื้อกิจการฟิกม่าได้ฉุดราคาหุ้นอะโดบีร่วงลงเกือบ 17% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (15 ก.ย.) ส่งผลให้มูลค่าตลาดของอะโดบีหายไปกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนมองว่าอะโดบีใช้เงินมากเกินไปในการซื้อกิจการฟิกม่าซึ่งมีมูลค่าตลาดเพียง 1 หมื่นล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ราคาหุ้นอะโดบียังปรับตัวลง 1.6% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วงเช้านี้

ด้านธนาคารโลกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2566 จากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนเศรษฐกิจโลกชะลอตัวในไตรมาส 3 ขณะที่บางประเทศจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2566

ธนาคารโลกออกรายงานเตือนว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าใกล้ภาวะถดถอย เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกกำลังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยพร้อมกันเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ

รายงานเปิดเผยว่า เศรษฐกิจของสหรัฐ จีน และยูโรโซนได้ชะลอตัวลงอย่างรุนแรง และเศรษฐกิจโลกอาจเผชิญภาวะถดถอยในปีหน้า

นอกจากนี้ รายงานระบุว่า ธนาคารกลางต่างๆจำเป็นจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2% เพื่อสกัดเงินเฟ้อให้อ่อนตัวลง นอกเหนือจากที่ปรับขึ้นแล้ว 2% ก่อนหน้านี้ ซึ่งการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นดังกล่าวท่ามกลางภาวะตึงตัวในตลาดการเงินจะฉุดให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของโลกลดลงสู่ระดับ 0.5% ในปี 2566 ขณะที่รายได้ต่อหัวจะหดตัวลง 0.4% ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าเกณฑ์การเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค

ธนาคารโลกเตือนว่า เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวหนักที่สุดหลังจากที่ฟื้นตัวขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยนับตั้งแต่ปี 2513 และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ดิ่งลงหนักกว่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่เศรษฐกิจโลกเผชิญภาวะถดถอยก่อนหน้านี้

นายเจอร์รี ไรซ์ โฆษกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง และคาดว่าเศรษฐกิจของบางประเทศจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2566 อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะลุกลามเป็นวงกว้างทั่วโลก

นายไรซ์กล่าวว่า มีข้อมูลจำนวนมากที่บ่งชี้ว่าทิศทางของเศรษฐกิจโลกยังคงอ่อนแรงลงในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวรวมถึงเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง, ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และการที่หลายประเทศหันมาใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงิน

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2565 ลงสู่ระดับ 3.2% และปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2566 ลงเหลือ 2.9% ส่วนตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจโลกครั้งใหม่นั้น จะมีการเปิดเผยในเดือนหน้า

นายไรซ์กล่าวว่า การใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้น กำลังสร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีน ขณะที่การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้หลายประเทศเผชิญกับสถานการณ์ที่ยุ่งยากซับซ้อน

"เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนในหลาย ๆ ด้าน เราคาดว่า เศรษฐกิจในบางประเทศจะเผชิญกับภาวะถดถอยในปี 2566 แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะลุกลามไปทั่วโลกหรือไม่

"ในทางเทคนิคนั้น ต่อให้บางประเทศไม่ได้เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ประชาชนจำนวนมากทั่วโลกก็รู้สึกได้ว่า พวกเขากำลังเผชิญกับการถดถอยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา ซึ่งความอดอยากหิวโหยพุ่งขึ้นถึง 1 ใน 3 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากถึง 123 ล้านคน" นายไรซ์กล่าว

ตลาดวอลล์สตรีทยังถูกกดดันจากการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในวันนี้ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75-1.00% ในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า

ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของเฟด พุ่งขึ้นเหนือระดับ 3.9% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 ในวันนี้ และอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีและ 30 ปี

การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวสูงกว่าระยะยาว ส่งผลให้ตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย ท่ามกลางการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

ณ เวลา 18.55 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 3.884% หลังพุ่งเหนือระดับ 3.9% ก่อนหน้านี้ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 3.451% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 3.485%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 80% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 20% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00%

หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนก.ย. ก็จะส่งผลให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 หลังจากปรับขึ้น 0.75% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. และหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ก็จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เฟดมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการควบคุมเงินเฟ้อ และการยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้

นายพาวเวลกล่าวว่า ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่เสร็จสิ้น โดยเฟดจะยังคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐ

"เราจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนกว่าจะมั่นใจว่าภารกิจของเราจะประสบความสำเร็จ โดยภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอาจได้รับผลกระทบจากการที่เฟดยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ความล้มเหลวในการรักษาเสถียรภาพของราคาจะทำให้เกิดผลกระทบมากกว่า" นายพาวเวลกล่าว

นอกจากนี้ นายพาวเวลกล่าวว่า หลังจากเสร็จสิ้นการใช้มาตรการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งสวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า

นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐระบุในวันพฤหัสบดี (15 ก.ย.) ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงเหนือระดับ 4.3% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กเปิดเผยถ้อยแถลงของนายซัมเมอร์สขณะกล่าวปาฐกถาที่งานโรงเรียนฮาร์วาร์ด เคนเนดี้ว่า ขณะนี้ตลาดต่าง ๆ คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงกว่า 4.3% จากเดิมที่คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 3%

"ผมคิดว่าหากเฟดต้องการควบคุมเงินเฟ้อจริงจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงกว่านั้น แต่เฟดยังไม่ต้องการที่จะสรุปการตัดสินใจในขณะนี้" นายซัมเมอร์ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าว

"เห็นได้ชัดว่าการที่ขณะนี้เฟดวางแผนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ในสัปดาห์หน้านั้น ดีกว่าการปรับขึ้นเพียง 0.50% และผมมั่นใจว่าเฟดจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไป"

นอกจากนี้ นายซัมเมอร์สได้เน้นย้ำความคิดเห็นที่มีต่อการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของเฟด โดยมองว่าเฟดควร "พิจารณาตามความเป็นจริงและซื่อสัตย์มากขึ้นต่อการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ" ซึ่งเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายเฟดจะเปิดเผยต่อสาธารณชน พร้อมกับการตัดสินใจเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.

ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 59.5 ในเดือนก.ย. จากระดับ 58.6 ในเดือนส.ค.แต่ต่ำกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 60.0

ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับ 4.6% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า โดยต่ำกว่าระดับ 4.8% ที่มีการสำรวจในเดือนที่แล้ว และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2564

สำหรับในช่วง 5 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับ 2.8% โดยต่ำกว่าระดับ 2.9% ที่มีการสำรวจในเดือนที่แล้ว และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2564

ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลักในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ณ เวลา 21.12 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินบวก 0.07% สู่ระดับ 109.82 ขณะที่ยูโรปรับตัวลง 0.4% สู่ระดับ 142.92 เยน และอ่อนค่า 0.06% สู่ระดับ 0.999 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ร่วงลง 0.35% สู่ระดับ 143.01 เยน

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 14% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00%

หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนก.ย. ก็จะส่งผลให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 หลังจากปรับขึ้น 0.75% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. และหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ก็จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เฟดมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการควบคุมเงินเฟ้อ และการยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้

นายพาวเวลกล่าวว่า ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่เสร็จสิ้น โดยเฟดจะยังคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐ

นอกจากนี้ ปอนด์ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 37 ปีเทียบดอลลาร์ในวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยของอังกฤษ หลังยอดค้าปลีกต่ำกว่าคาดในเดือนส.ค.

นอกจากนี้ ปอนด์ยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ จากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ ปอนด์ดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 1.14 ดอลลาร์ในวันนี้ แตะระดับ 1.1351 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2528

สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดค้าปลีกของอังกฤษดิ่งลง 1.6% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2564 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 0.5%

ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะเผชิญภาวะถดถอยยาวนานกว่า 1 ปี โดยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 จนถึงสิ้นปี 2566

BoE คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะเผชิญภาวะถดถอยนานถึง 5 ไตรมาส ซึ่งเป็นช่วงเวลายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตการเงิน โดยรายได้ในภาคครัวเรือนของอังกฤษจะทรุดตัวลงอย่างหนักในปี 2565-2566 ขณะที่การบริโภคเริ่มหดตัว

นอกจากนี้ หลายฝ่ายกังวลต่อสถานะทางการคลังของอังกฤษ เนื่องจากนางลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีนโยบายปรับลดอัตราภาษี รวมทั้งออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือภาคครัวเรือนของอังกฤษ

ราคาทองฟิวเจอร์ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ใกล้หลุดระดับ 1,670 ดอลลาร์ โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

ณ เวลา 21.10 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลบ 3.90 ดอลลาร์ หรือ 0.23% สู่ระดับ 1,673.40 ดอลลาร์/ออนซ์

ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ขณะที่การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของเฟด พุ่งขึ้นเหนือระดับ 3.9% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 ในวันนี้ และอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีและ 30 ปี

นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลต่อการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยมีการคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75-1.00% ในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 80% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 20% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00%

หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนก.ย. ก็จะส่งผลให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 หลังจากปรับขึ้น 0.75% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. และหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ก็จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี

กระทรวงต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐประกาศการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมแก่ยูเครนมูลค่า 600 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยยูเครนในการทำศึกกับรัสเซีย

ปธน.ไบเดนได้ใช้อำนาจตามกฎหมาย "Presidential Drawdown Authority" ซึ่งให้อำนาจแก่ผู้นำสหรัฐในการสั่งเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ส่วนเกินในคลังแสงของสหรัฐออกไปใช้ในกรณีฉุกเฉิน โดยไม่จำเป็นต้องขอการอนุมัติจากสภาคองเกรส

กระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือเพนตากอนระบุว่า การสนับสนุนในครั้งนี้ประกอบด้วย ระบบยิงจรวดหลายลำกล้องอัตตาจรสูง (HIMARS) แว่นตาสำหรับการมองในเวลากลางคืน ทุ่นระเบิดเคลย์มอร์ เครื่องทำลายทุ่นระเบิด กระสุนปืนใหญ่ขนาด 105 มม. และกระสุนปืนใหญ่นำวิถีขนาด 155 มม. พร้อมยืนยันว่า สหรัฐและพันธมิตรจะร่วมกันสนับสนุนให้ยูเครนมีศักยภาพในการสู้รบที่แข็งแกร่งขึ้นในสงครามครั้งนี้

ทั้งนี้ ทางสหรัฐได้ให้การสนับสนุนด้านความมั่นคงแก่ยูเครน รวมแล้วประมาณ 1.51 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ที่สงครามรัสเซียและยูเครนเปิดฉากขึ้นในเดือนก.พ.ปีนี้

สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI พุ่งขึ้นกว่า 1% เหนือระดับ 86 ดอลลาร์ในวันนี้ โดยนักลงทุนส่งแรงซื้อเก็งกำไร หลังราคาร่วงลงก่อนหน้านี้

ณ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนต.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX เพิ่มขึ้น 0.93 ดอลลาร์ หรือ 1.09% สู่ระดับ 86.03 ดอลลาร์/บาร์เรล

อย่างไรก็ดี แม้ว่าราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นในวันนี้ แต่ก็มีแนวโน้มปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และความกังวลที่ว่า การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะทำให้เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอย และส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน

นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75-1.00% ในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า

หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนก.ย. ก็จะส่งผลให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 หลังจากปรับขึ้น 0.75% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. และหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ก็จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี

นอกจากนี้ สำนักงานพลังงานสากล (IEA) เตือนว่า การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะหยุดชะงักลงในไตรมาส 4 โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน และกลุ่มประเทศในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)

รัฐบาลเยอรมนีเข้าควบคุมธุรกิจในเครือรอสเนฟต์ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซียที่ดำเนินงานอยู่ในเยอรมนี เพื่อสร้างหลักประกันว่า ธุรกิจดังกล่าวจะเดินหน้ากลั่นน้ำมันที่โรงงาน 3 แห่งในเยอรมนีต่อไป ท่ามกลางวิกฤตขาดแคลนพลังงานในประเทศ

ทั้งนี้ กระทรวงเศรษฐกิจเยอรมนีแถลงในวันนี้ (16 ก.ย.) ว่า บริษัทรอสเนฟต์ ดอยช์แลนด์ จำกัด และบริษัทอาร์เอ็น รีฟายนิ่ง แอนด์ มาร์เกตติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือบริษัทรอสเนฟต์ จะเข้าไปอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสำนักงานเครือข่ายรัฐบาลกลาง (Federal Network Agency) ของเยอรมนี

นอกจากนี้ สำนักงานฯ จะควบคุมหุ้นของบริษัทดังกล่าวในโรงกลั่น 3 แห่งได้แก่ โรงกลั่นพีซีเค ชวีดต์, มีโร และเบเยอร์นอยล์

หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เปิดเผยถ้อยแถลงของกระทรวงเศรษฐกิจเยอรมนีว่า รอสเนฟต์คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 12% ของศักยภาพการกลั่นน้ำมันของเยอรมนี โดยความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดนี้เป็นไปเพื่อรับประกันว่าจะมีอุปทานหมุนเวียนต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นจะบังคับใช้มาตรการดังกล่าวนาน 6 เดือน

BTC ร่วงลงหลุดระดับ 20,000 ดอลลาร์ในวันนี้ โดยปรับตัวลงตามตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ณ เวลา 20.56 น.ตามเวลาไทย BTC ร่วงลง 1.29% สู่ระดับ 19,529.50 ดอลลาร์ ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์ม Coinbase (NASDAQ:COIN)

ดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลงกว่า 400 จุด โดยนักลงทุนวิตกว่า การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอย

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 80% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 20% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00%

หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนก.ย. ก็จะส่งผลให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 หลังจากปรับขึ้น 0.75% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. และหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ก็จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี

BTC เคยพุ่งขึ้นทะลุ 69,000 ดอลลาร์ในเดือนพ.ย.2564 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนที่จะทรุดตัวลงต่ำกว่าระดับ 20,000 ดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.2565 ท่ามกลางความกังวลที่ว่า การที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดขนาดงบดุลจะฉุดสภาพคล่องในตลาด และส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะถดถอย

นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย