ปัจจุบันเรามีหุ้นมากกว่า 700 ตัวที่สังกัดอยู่บนกระดานเทรดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งรวมๆ แล้วตลาดแห่งนี้มีมูลค่ารวมมากกว่า $10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่จาก 700 กว่าตัวนั้น ไม่มีตัวไหนเลยที่สร้างขาลงได้หนักที่สุดเท่ากับหุ้นของแพลตฟอร์มตัวกลางแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลอย่างคอยน์เบส (NASDAQ:COIN) ที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นได้ร่วงลงมาแล้ว 79.6%
สาเหตุที่หุ้นคอยน์เบสร่วงลงหนักขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะหุ้นของทุกบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลต่างมีสภาพที่ไม่ต่างกัน ขาลงอย่างรุนแรงของสกุลเงินดิจิทัลชื่อดังอย่างบิทคอยน์ (BTC/USD) และอีเทอเรียม (ETH/USD) ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบันทำให้บริษัทเหล่านี้ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ก่อนหน้าที่บิทคอยน์และอีเทอเรียมจะร่วงลงอย่างหนัก วงการสกุลเงินดิจิทัลต้องเผชิญกับแรงกดดันเมื่อ Terra (LUNA/USD) ต้องล่มสลาย และ Celsius (CEL/USD) ยังไม่อนุญาตให้ผู้ใช้งานถอนเงินออกจากระบบได้ชั่วคราว สร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อภาพลักษณ์ของวงการอย่างมีนัยสำคัญ
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อในตอนนี้สร้างผลกระทบต่อตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก แม้แต่หุ้นชื่อดังที่เคยทำผลงานได้ดีในช่วงสองปีที่ผ่านมาต่างปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น Shopify (NYSE:SHOP), Unity Software (NYSE:U), Roblox (NYSE:RBLX) และ Snap (NYSE:SNAP) ซึ่งหุ้นแต่ละตัวปรับตัวลดลงอย่างน้อยเกิน 74% ขึ้นไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ขาลงอย่างมหาศาลได้ทำให้นักลงทุนสายสวนเทรนด์เกิดความสนใจในหุ้นเหล่านี้โดยเฉพาะหุ้นคอยน์เบส นับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างเป็นทางการ หุ้นคอยน์เบสยังไม่เคยปรับตัวขึ้นได้อย่างเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้ง นักลงทุนเหล่านี้มองว่าขาลงที่วงการคริปโตฯ และหุ้นกลุ่มเติบโตเจอเป็นผลกระทบระยะสั้นจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เท่านั้น
พวกเขาอาจยกเหตุผลเช่น รายรับ 12 เดือนย้อนหลังนั้นมากกว่า 10 ดอลลาร์ต่อหุ้น ตามหลักการทางบัญชีที่ยอมรับโดยทั่วไป (GAAP) ทำให้ราคาต่อกำไรของหุ้นหลายตัวต่ำกว่า 5 เท่าขึ้นมาสนับสนุนการซื้อหุ้นคอยน์เบส แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเพียงหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่เพียง 30 ตัวเท่านั้นที่มีค่า P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ยกตัวอย่างเช่น DR Horton (NYSE:DHI) และ Ford (NYSE:F) ซึ่งหุ้นพวกนี้จัดอยู่ในกลุ่มวัฐจักร และมีโอกาสปรับตัวลงถ้าหากเศรษฐกิจอเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย
ความจริงที่น่าเศร้าก็คือแม้ว่าหุ้นคอยน์เบสจะร่วงลงมาจุดสูงสุด 86% แต่นั่นก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้หุ้นตัวนี้เป็นที่น่าสนใจ นอกจากปัจจัยพื้นฐานที่ได้กล่าวไปบ้างแล้ว ยังมีความเสี่ยงอีกหลายประการในวงการคริปโตฯ ที่ยังถือว่ามีโอกาสจะพาหุ้นคอยน์เบสให้ปรับตัวลดลงอีก ประเด็นนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเทขายในตลาดหุ้นเพราะความกังวลของนักลงทุน แต่เป็นเพราะตัวหุ้นและบริษัทคอยน์เบสเองที่ในเวลานี้ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ
ความเป็นจริงก็คือ หุ้น COIN ไม่ได้ถูก
ถ้าให้พูดเข้าประเด็นอย่างรวดเร็วเลยก็คือค่า P/E ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาของหุ้น COIN ไม่มีความน่าสนใจ และกำไรบริษัทที่ได้ในตอนนี้ก็ดูยังจะไม่มีความยั่งยืน แม้แต่ตัวบริษัทเองก็ยังยอมรับหลังจากการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ว่าค่า EBITDA หรือกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายทางดอกเบี้ยภาษี + ค่าเสื่อม + ค่าจัดจำหน่ายหายไปเกือบ $500 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วซึ่งคอยน์เบสยังทำ EBITDA ได้มากกว่า $4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถ้าหากคิดว่าค่า P/E ในตอนนี้ทำให้หุ้น COIN ดูถูกแล้ว แต่เมื่อรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ออกมาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ค่า P/E จะยิ่งถูกลงมากกว่านี้ และถ้าสถานการณ์ตลาดคริปโตฯ ยังเป้นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 เราอาจจะได้เห็นค่า P/E ของหุ้นคอยน์เบสลงไปถึงระดับติดลบเลยก็เป็นได้
ดังนั้น ความเห็นของคนที่ยังเชื่อว่าหุ้น COIN มีราคาถูกเพราะลงมาจากจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายนมากถึง 86% นั้นเป็นความเชื่อที่ไม่สนใจความจริงเบื้องหลังว่าสถานการณ์ภายในบริษัทตอนนี้เป็นเช่นไร และเป็นความเชื่อที่มองข้ามความจริงที่ว่าหุ้น COIN เมื่อเจ็ดเดือนก่อนนั้นมีมูลค่ามากกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มเติบโตตัวอื่นๆ เหตุผลเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับการยังไม่ควรเข้าไปยุ่งกับหุ้น COIN ในเวลานี้
อนาคตของ Coinbase จะเป็นเช่นไร
นอกเหนือจากเหตุผลที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ก็ต้องยอมรับว่าอนาคตของคอยน์เบสตอนนี้ไม่สดใส ก่อนหน้านี้บริษัทคอยน์เบสพึ่งประกาศจ้างพนักงานเพิ่มเป็นจำนวนมาก โดยให้เหตุผลว่าเป็น "การลงทุนอย่างชาญฉลาดเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว" นี่คือแผนที่พึ่งเขียนเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถัดมาไม่ถึงสองสัปดาห์ บริษัทกลับประกาศหยุดจ้างพนักงานชั่วคราว และล่าสุดเมื่อวันอังคาร คอยน์เบสก็ได้ประกาศเลิกจ้างพนักงาน 18%
คำอธิบายที่ชัดเจนที่สุดสำหรับการกระทำของบริษัทคอยน์เบสคือพวกเขาตระหนักดีว่าขาลงในตลาดคริปโตฯ ได้พาบริษัทมายืนอยู่ตรงหน้าผา แม้แต่ CEO ของบริษัทนายไบรอัน อาร์มสตรอง ก็ยังออกมาพูดเองว่าให้เตรียมตัวรับความเสี่ยงจากช่วงเวลาตลาดหมีในระยะยาวเอาไว้ ในอดีต คอยน์เบสต้องเผชิญกับวิกฤตมาแล้วสี่ครั้ง และแต่ละครั้งพวกเขาก็ต้องบริหารจัดการต้นทุนเพื่อเอาตัวรอด
แล้วนักลงทุนควรตัดสินใจเช่นไร
สำหรับนักลงทุนที่ยังศรัทธาในตลาดสกุลเงินดิจิทัล ก็เข้าใจได้ว่าหากจะเชื่อว่บริษัทคอยน์เบสจะสามารถผ่านขาลงในช่วงนี้ไปได้อีกครั้ง ขาลงในช่วงปี 2021 คอยน์เบสก็เคยผ่านมาได้แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นบิทคอยน์ยังไม่ได้ลงมาถึง $20,000 อย่างทุกวันนี้ แต่ถ้าจะลงทุนกับหุ้นคอยน์เบส สิ่งที่เราต้องเตือนไว้ก็คือชะตาชีวิตของบริษัทไม่ได้ขึ้นอยู่กับความผันผวนในตลาดคริปโตฯ เท่านั้น แต่ขาลงครั้งนี้ยังเป็นเพราะบริษัทกำลังสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดอีกด้วย
คู่แข่งคนสำคัญของคอยน์เบสในปัจจุบันยังมี Block (NYSE:SQ) PayPal (NASDAQ:PYPL) และ Robinhood (NASDAQ:HOOD) เมื่อเดือนเมษษยน นักวิเคราะห์จากวอลล์สตรีทเคยคาดการณ์ว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของคอยน์เบสได้หายไปประมาณ 8-12% ภายในเวลาไม่กี่เดือน
การเติบโตของคู่แข่งไม่ได้กระทบเฉพาะปริมาณการซื้อขายรายวัน แต่กระทบต่อรายได้ของบริษัท เพราะอะไร? เพราะรายได้หลักของบริษัทมาจากการเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของผู้ใช้งานผ่านแพลตฟอร์ม การที่ปริมาณการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มลดลง ประกอบกับคู่แข่งที่สามารถแย่งลูกค้าไปได้ ก็ยิ่งทำให้กำไรของคอยน์เบสลดลง ปรากฎการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต ในปี 1980 บริษัทนายหน้าค้าหุ้นเคยทำกำไรจากค่าคอมมิชชันโดยเฉลี่ยได้ประมาณ $35 แต่เมื่อการเทรดออนไลน์เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 1990 กำไรส่วนนี้ก็ค่อยๆ ลดลง จนปัจจุบันกลายเป็นศูนย์ไปแล้ว
ที่ผ่านมาคอยน์เบสพยายามแบกรับความเสี่ยงเหล่านี้ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถทนไหวจนต้องลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและพนักงานลงอย่างที่เห็น โดยสรุปแล้ว ตราบใดที่ตลาดคริปโตฯ หรือบิทคอยน์ยังไม่สามารถสร้างฐานแนวรับใหม่ได้อย่างมั่นคง ตราบนั้นหุ้นคอยน์เบสก็ยังมีโอกาสปรับตัวลดลงมากกว่านี้ได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ควรลงทุนในหุ้นคอยน์เบสในช่วงเวลาแบบนี้