การที่ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยนบายไว้ที่ 0.5% ด้วยมติไม่เอกฉันท์ 4:3 อีกทั้ง ถ้อยแถลงหลังการประชุมก็แสดงความชัดเจนว่า กลับทิศมาให้น้ำหนักกับการดูแล เรื่องเสถียรภาพราคาสินค้ามากกว่า การเติบโตเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมดังกล่าว ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่นานนี้จะเริ่มปรับเป็นขาขึ้น ทั้งนี้ในมุมของฝ่ายวิจัย เชื่อว่าตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในช่วง 3 เดือน ข้างหน้า (มิ.ย.- ส.ค.) จะยังสูงกว่า 7% อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อกลับมาดูที่อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ในปัจจุบันแล้ว มีความเป็นไปได้มากที่จะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ครั้งละ 0.25% มากกว่า 1 ครั้ง ซึ่งผลกระทบต่อ SET Index ซึ่งเรากำหนด เป้าหมายด้วยวิธีMarket Earning Yield Gap ที่ระดับ 4.4% กรณีที่ กนง. ขึ้น ดอกเบี้ย 1 ครั้ง 0.25% เป้าหมาย SET Index จะลงมาที่ 1722 จุด
SET Index อยู่ภายใต้แรงกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้นและ Fund Flow ไหลออก กรอบ 1625 – 1645 จุด พอร์ตจำลองให้ เปลี่ยนหุ้น STEC น้ำหนัก 10% มาเป็น หุ้น TRUE คงเงินสดสำรอง 10% หุ้น Top Pick เลือก BLA, KSL และ TRUE
OECD ปรับลดประมาณการ GDP GROWTH ปีนี้ ตาม WORLD BANK
หลังจากที่ธนาคารโลก(World Bank) ได้ปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกหรือ GDP Growth ในปีนี้ลงเหลือ +2.9% (จากเดิมเคยคาดไว้ที่ +4.1% เมื่อต้นปี) ต่อมาองค์การเพื่อ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา(OECD) กล่าวว่า การบุกรุกของรัสเซียต่อยูเครน กำลังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงการปิดตัวลงในเมืองใหญ่และ ท่าเรือต่างๆ ในประเทศจีนเนื่องจากนโยบายปลอดโควิด ได้ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบชุด ใหม่ขึ้น โดยประมาณการว่า GDP โลกจะแตะ 3% ในปี 2565 ลดลง 1.5% จากที่คาดการณ์ ไว้ในเดือนธันวาคม ขณะที่ยุโรปเหลือ 2.6% ญี่ปุ่น 1.7% สหรัฐฯ 2.5% จีน 4.4% รัสเซีย -10% ดังรูปด้านล่าง
ขณะที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวในแดนลบ ทั้งสหรัฐที่ปรับตัวลงราว0.7%-1% โดยได้รับ แรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ ซึ่งตลาดคาดว่า GDP ของสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวเพียง 0.9% ในไตรมาส 2 หลังจากหดตัวลง 1.5% ในไตรมาส 1 ทำให้สหรัฐมีความเสี่ยงสูงที่เศรษฐกิจอาจจะหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส บวกกับ Bond Yield สหรัฐอายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 3% ถือเป็นอีกหนึ่งแรงกดดัน
ขณะที่ประเด็นวิกฤตขาดแคลนอาหารดูผ่อนคลายลง หลังรัฐมนตรีกระทรวงการ ต่างประเทศรัสเซีย เดินทางเยือนตุรกี เพื่อหารือร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ของตุรกีวานนี้ เพื่อหาแนวทางการส่งออกธัญพืชจากท่าเรือยูเครน ที่ต้องหยุดชะงักลง หลังเกิดปัญหาความขัดแย้งรัสเซีย - ยูเครน ที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ธัญพืชปริมาณกว่า 20 ล้านตัน ไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ได้ และทำ ให้เกิดวิกฤตขาดแคลนอาหารตามมาในหลายประเทศทั่วโลก โดยภาวะปกติรัสเซียและ ยูเครนมีสัดส่วนการส่งออกข้าวสาลีคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของโลก ดังนั้นประเด็น ดังกล่าว จึงเป็นความหวังจะช่วยคลี่คลายปัญหาวิกฤตขาดแคลนอาหารได้ในอนาคต
สรุป การปรับลดประมาณการ GDP ของ World Bank และ OCED บวกกับรอตัวเลข CPI เดือนพ.ค.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ว่าจะมีทิศทางเป็นเช่นไร จึงทำให้สินทรัพย์ชะลอ การปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ โดยคาดวันนี้ SET Index แกว่งกรอบ 1625-1645 จุด
แม้กนง. คงดอกเบี้ยที่ 0.5% 4:3เสียง เป็นการเสียงแตกครั้งแรกในปีนี้
ธปท. เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 4 ต่อ 3 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.50% ต่อปี โดยคณะกรรมการประเมินประเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยปรับจีดีพีจาก 3.2% เป็น 3.3% จากการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวดีกว่าคาด รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยว ต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการเปิดประเทศของไทยและต่างประเทศที่เร็วขึ้น อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปมีความเสี่ยงมากขึ้นจากราคาน้ำมันโลกที่มีโอกาส สูงกว่าที่ประเมินไว้จึงเห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในปัจจุบันจำเป็น ลดลงในระยะถัดไป และจะพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทยอยปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต
ฝ่ายวิจัยฯทำ Sensitivity หากมีการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีจะกดดัน Target SET Index เท่าไหร่? หากอิงจากประมาณการเดิมที่ 1810 จุด ถ้ามีการขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้อาจกดดัชนีลงมาเหลือ 1722 จุด และหากมีการขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้อาจกด ดัชนีลงมาเหลือ 1570 จุด
ยาม FUND FLOW ชะลอ ค้นหาหุ้นที่ต่างชาติยังรักกับเริ่มชัง
แม้ตั้งแต่ต้นปี 2565 ถึงปัจจุบัน (7 มิ.ย. 65) ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยมาแล้วกว่า 1.36 แสน ล้านบาท (ytd) แต่เดือน มิ.ย. 65 เรื่มเห็นการขายสุทธิทุกวัน โดยขายสุทธิมาแล้วกว่า 5.1 พันล้านบาท (mtd) และยังมีแรงกดดันว่า ต่างชาติมีโอกาสขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง
ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อเดือน พ.ค. 65 ยังเร่งตัวขึ้นถึง 7.1%yoy สูงสุดในรอบ 13 ปี และยังมี แนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังอยู่ในโซนอ่อนค่า ล่าสุดอยู่ที่ 34.46 บาท/เหรียญ (เพิ่มขึ้นมา 3.86%ytd) ทำให้เชื่อว่ากนง. มีโอกาสที่จะออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อสกัดกั้น เงินเฟ้อ พร้อมกับรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท ในช่วงที่เหลือปีโดยการขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง กดดันดัชนีเป้าหมายลดลง 88 จุด (ตาม Sensitivity ในหัวข้อก่อนหน้า)
แน้วโน้ม Fund Flow ที่มีโอกาสชะลอลง ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหาหุ้นที่ต่างชาติยัง ชื่นชอบ และหุ้นที่ต่างชาติเริ่มทยอยขายสุทธิออกมา โดยประเมินจากหุ้นไทยที่ต่างชาติซื้อ สุทธิทางตรงมากสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2565 (ytd) พร้อมกับวิเคราะห์แรงซื้อในเดือน มิ.ย. 65 เริ่มชะลอตัวลงหรือไม่ (mtd) ได้ผลลัพธ์ 20 หุ้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิมากสุดในปีนี้
อธิบายข้อมูลจากตารางข้างต้น ส่วนใหญ่หุ้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิมัก Outperform ตลาดได้ดี สะท้อนได้จาก 20 หุ้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิมากสุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.4%ytd ขณะที่ SET Index -1.6%ytd และหากลงรายละเอียดเป็นรายหุ้น อย่าง หุ้น PTTEP เป็นหุ้นที่ต่างชาติ ซื้อสุทธิมากสุดในปี 2565 (ytd) ด้วยมูลค่า 2.54 หมื่นล้านบาท หนุนราคาปรับตัวขึ้นมา 43%(ytd) แต่ในเดือน มิ.ย. เริ่มเห็นแรงขายออกมา 610 ล้านบาท (ขายออกมาในสัดส่วน 2.4% ของที่ซื้อในปีนี้)
จากข้อมูลดังกล่าว สรุปได้ว่าในปีนี้ (ytd) ต่างชาติสนใจซื้อหุ้นไทยในกลุ่มพลังงาน, กลุ่มธ.พ. และกลุ่มเปิดเมือง เป็นหลัก ขณะที่เดือน มิ.ย. (mtd) เดือนนี้เริ่มเห็นการขายทำกำไรในหุ้น พลังงาน และหุ้นเปิดเมืองที่ขึ้นมาแรงบ้าง
กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ต่างชาติสนใจ แนะนำหุ้นต่างชาติซื้อต่อ แต่ยังขึ้นน้อย อย่าง KBANK (BK:KBANK), ADVANC, TIDLOR, INTUCH และต้องระวังหุ้นที่ขึ้นมาเยอะ และเริ่มถูกสลับ มาขายสุทธิมากขึ้น PTTEP, TOP, AWC, CRC อาจส่งผลให้ย่อตัวลงมาบ้างในบางเวลา
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities