กนง. มีมติ 4:3 “คง” ดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% และมองนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในปัจจุบันจะมีความจำเป็นลดลง
-
Bank of Thailand Benchmark Interest Rate
Actual: 0.50% Previous: 0.50%
KTBGM: 0.50% Consensus: 0.50%
-
กนง. มีมติ 4 ต่อ 3 ให้ “คง” ดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ตามคาด เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ตามคาด ขณะที่คณะกรรมการ 3 ท่าน เห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% หลังการฟื้นตัวเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีความชัดเจนเพียงพอ ทั้งนี้ กนง. มองว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในระดับปัจจุบันจะมีความจำเป็นลดลงในอนาคต
-
เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและมีโอกาสฟื้นตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ จากอุปสงค์ในประเทศรวมถึงแรงหนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดย กนง. มองว่า เศรษฐกิจอาจโตราว 3.3% ในปีนี้ และ 4.2% ในปีหน้า ขณะที่ เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 6.2% และ 2.5% ในปีนี้และปีหน้า ตามราคาสินค้าพลังงาน รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นและการกระจายตัวของหมวดสินค้าหลากหลายขึ้น โดย กนง. จะติดตามทิศทางของเงินเฟ้อรวมถึงคาดการณ์เงินเฟ้อระยะปานกลางอย่างใกล้ชิด ทำให้ เราปรับมุมมองใหม่ว่า กนง. มีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ครั้งแรกในการประชุมครั้งถัดไป บนเงื่อนไข เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง และประเทศจีนไม่มีการ Lockdown อีกครั้ง
-
การประชุมครั้งถัดไป: 10 สิงหาคม 2565
กนง. มีมติ 4 ต่อ 3 ให้ “คง” ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% โดยคณะกรรมการ 3 ท่าน เห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% หลังการฟื้นตัวเศรษฐกิจและความเสี่ยงเงินเฟ้อชัดเจนเพียงพอที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
-
กนง. มองว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและอาจดีกว่าที่เคยประเมินไว้ หนุนโดยการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ดีกว่าคาด รวมถึง ตลาดแรงงานและรายได้ครัวเรือนมีสัญญาณปรับดีขึ้นตามการเปิดประเทศ ขณะที่ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนและการระบาดของโอมิครอนมีผลต่อเศรษฐกิจจำกัด ทำให้ กนง. ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ดีขึ้นเป็น+3.3% นอกจากนี้ ในการประชุมครั้งนี้ กนง. ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มสูงกว่าที่เคยประเมินไว้และสูงกว่ากรอบเป้าหมายตลอดทั้งปี จากการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงาน รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นและการกระจายตัวเพิ่มขึ้นของสินค้าหลายหมวดที่ราคาปรับตัวขึ้นมาก ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 6.2% ก่อนที่จะทยอยปรับตัวลดลงกลับสู่ระดับ 2.5% ในปีหน้า ทำให้ กนง. มองว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงมาก จะเริ่มมีความจำเป็นน้อยลง โดยมีคณะกรรมการ 3 ท่าน เห็นชอบให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% หลังการฟื้นตัวเศรษฐกิจและความเสี่ยงเงินเฟ้อชัดเจนขึ้น แต่คณะกรรมการส่วนใหญ่ยังคงเห็นควรให้คงดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ดีตามคาด
-
แม้ กนง. ยังคงมองว่าปัจจัยที่ผลักดันเงินเฟ้อให้พุ่งสูงขึ้นนั้นยังมาจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก แต่อัตราเงินเฟ้อก็ยังมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่อาจสูงกว่าคาด รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการที่สูงกว่าคาด อนึ่ง อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานปลางยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ซึ่ง กนง. จะติดตามเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่า อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังสอดคล้องกับเป้าหมาย
-
อย่างไรก็ดี กนง. จะพิจารณาหาจังหวะที่เหมาะสมในการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมทั้งติดตามแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจรวมถึงเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิดต่อไป
กนง. เริ่มส่งสัญญาณพร้อมปรับนโยบายการเงินมากขึ้น ทำให้เราปรับมุมมองใหม่ว่า การขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกอาจเกิดขึ้นได้ในการประชุมครั้งถัดไป
-
ในการประชุมครั้งนี้ กนง. ได้มีการปรับมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากเดิม ตามแรงหนุนของการเปิดประเทศ อีกทั้งยังปรับประมาณการเงินเฟ้อใหม่ที่สูงขึ้นจากเดิมมาก พร้อมกับระบุว่า กนง. เริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าที่มีลักษณะ Broad-based มากขึ้น คล้ายกับช่วงปี 2007-2008 ทำให้เรามองว่า กนง. กังวลการฟื้นตัวเศรษฐกิจลดลงจากช่วงก่อนหน้า และหันมากังวลแนวโน้มเงินเฟ้อสูงมากขึ้น ทำให้ เรามองว่า แนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง จะยิ่งกดดันให้ กนง. มีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ได้ในการประชุมเดือนสิงหาคม โดยมีเงื่อนไขสำคัญ คือ ระหว่างนี้จนถึงการประชุมจะต้องไม่มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่ชัดเจน ซึ่งเรามองว่า ความเสี่ยงสำคัญคือ การกลับมาใช้มาตรการ Lockdown ที่เข้มงวดของทางการจีน
-
นอกจากนี้ เรามองว่า หากโมเมนตัมการฟื้นตัวเศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่องและแรงกดดันเงินเฟ้อยังมีอยู่สูง ก็มีโอกาสที่ กนง. จะสามารถทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้ โดย สิ่งที่น่าสนใจ คือ หาก กนง. เริ่มทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้ จุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Terminal Rate) จะอยู่ที่เท่าไหร่? ซึ่งเราประเมินใหม่ว่า Terminal Rate ของไทย จะไม่เกิน 2.00% โดยระดับดังกล่าวเป็นระดับที่เหมาะสมกับภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่จะโตได้ไม่ต่ำกว่า 4% ในปีหน้า และเป็นการเติมกระสุนนโยบายการเงิน (Policy Space) ที่เพียงพอในการรับมือความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจซบเซาหนักหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว อย่าง สหรัฐฯ หรือ ยุโรป ที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายปี 2023 หรือ ต้นปี 2024 ทั้งนี้ความเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ การเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาด หรือ ขึ้น 0.50% ซึ่งอาจขึ้นกับภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจ รวมถึงแรงกดดันจากเงินทุนต่างชาติที่หากไหลออกรุนแรงก็อาจทำให้ กนง. ตัดสินใจเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้