การที่ตลาดเริ่มมองเห็นทางเลือกเพิ่มขึ้นในการลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อ แทนที่จะดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวเชิงรุกเพียงอย่างเดียว โดยมองไปที่ กำแพงภาษีนำเข้า ที่สหรัฐฯกำหนดจัดเก็บจากจีน (Trade War) ซึ่งมีมูลค่า เป็นสินค้านำเข้า 3.5 แสนล้าน USD ซึ่งกำลังจะหมดอายุลงในวันที่ 6 ก.ค. 2565 ว่าอาจไม่มีการขยายอายุออกไป หากเป็นไปในแนวทางดังกล่าว ก็น่าจะ เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อลง ทำให้ตลาดหุ้น สหรัฐฯตอบสนองในเชิงบวกเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธนาคาร เชื่อว่าตลาดหุ้น บ้านเราก็น่าจะได้รับ Sentiment เชิงบวกจากเรื่องดังกล่าวด้วย ส่วนในบ้าน เรามีกำหนดการขายซองรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก 27 พ.ค.65 ดีต่อรับเหมาฯ
SET Indexยังเปิด Room ในการRebound แต่ Upsideจำกัด กรอบ 1625 – 1655 จุด พอร์ตจำลองให้ลดเงินสดจาก 20% เหลือ 10% ให้เข้าซื้อ BBL และ PLANB หุ้น Top Pick เลือก BBL, PLANB และ STEC
ภาพรวมโลกยังอยู่ในช่วงหาแนวทางสกัดกั้นเงินเฟ้อ
ภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ณ ปัจจุบัน ทั้งจากการทยอยฟื้นของเศรษฐกิจ บวกกับความ ขัดแย้งรัสเซียยูเครนที่ยืดเยื้อ เป็นตัวเร่งกดดันให้ราคาสินค้าแพงขึ้น ขณะที่หลายๆ ประเทศเริ่มหาวิธีการในการลดระดับเงินเฟ้อลงดังนี้
1. ปธน. สหรัฐส่งสัญญาณอาจผ่อนผันหรือยกเลิกกำแพงภาษีจากจีน เพื่อสกัด การพุ่งขึ้นของราคาสินค้าในสหรัฐ โดยวานนี้ปธน.สหรัฐ โจ ไบเดน กล่าว ระหว่างเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นว่า กำลังพิจารณาเรื่องลดความตึงเครียดของ สงครามการค้ากับจีน หรือผ่อนผันกำแพงภาษีสินค้าจีนที่รัฐบาลทรัมป์เคยตั้งไว้ ซึ่งตลาดคาดว่ามีโอกาสที่จะผ่อนผันหรือยกเลิกหลังจากกำแพงภาษีจะหมดอายุ ลงใน 6 ก.ค. 65 นี้ เพื่อช่วยสกัดการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าในสหรัฐ ความผ่อน คลายดังกล่าวช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นหลายประเทศปรับตัวเพิ่ม อาทิ Down Jones +618 จุด หรือ 1.98%, EURO Stoxx50 +1.4% และหุ้นที่บวกได้ ร้อนแรงส่วนใหญ่จะเป็นหุ้น ธ.พ. อาทิ JP Morgan +6.2%, Bank of America +5.9% และ Deutsche Bank +7.0% เป็นต้น ถือเป็นกระแสที่ ดีต่อหุ้น ธ.พ. ไทยเช่นกัน แนะนำ BBL KBANK (BK:KBANK) SCB
2. การเตรียมใช้นโยบายการเงินตึงตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของหลายประเทศ ถือเป็น ประเด็นกดดันสภาพคล่องในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยล่าสุดนาง Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรป กล่าวว่า ECB เตรียมขึ้นดอกเบี้ยนโบาย ครั้งแรกในรอบ 10 ปี(การประชุมครั้งถัดไป 3 มิย. 65) ตามสหรัฐและอังกฤษที่ ปีนี้ขึ้นดอกเบี้ยมาต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 0.75% และ 1% ตามลำดับ และตลาด คาดว่าดอกเบี้ยยุโรปจะกลายเป็นบวกภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้รวมถึงเช้านี้ ในฝั่งเอเชียยังมีปากีสถานฯ ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 1.5% สู่ระดับ 13.75% สูง เป็นอันดับ 2 รองจากศรีลังกา ขณะที่ไทยแม้ปัจจุบันยังคงดอกเบี้ยนโยบายอยู่ แต่คาดว่าช่วงปลาย 3Q65 – ต้น 4Q65 มีความเสี่ยงที่กนง. อาจพิจารณาปรับ เพิ่มดอกเบี้ยขึ้นได้ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามกลไกมีโอกาสกดดัน SET Index ให้ลดลง 88 จุด
ความหวังการความผ่อนคลายกำแพงภาษีจากจีนถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น ในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามประเด็นสงครามรัสเซียยูเครนยังยืดเยื้อ และเดือนหน้ายังเป็น ช่วงเข้าสู่การใช้นโยบายการเงินแบบ New Nomal ในเดือนหน้า คือ สหรัฐมี แนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยต่อในเดือน มิ.ย. 0.5% พร้อมกับการลดขนาดงบดุลลง 4.75 หมื่นล้านเหรียญ น่าจะกดดัน Upside ของตลาดหุ้นให้ขึ้นจำกัดในช่วงที่เหลือของ เดือน พ.ค. ส่วนวันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ที่ 1625 – 1655 จุด
ฝีดาษลิง ประเด็นรบกวนตลาดที่ต้องติดตาม
ปัจจุบันฝีดาษลิง (monkeypox) ได้ระบาดทั่วโลก ซึ่งมีผู้ติดเชื้อและต้องสงสัยรวมกันไม่ ต่ำกว่า 100 ราย ล่าสุดประเทศเบลเยียมเป็นประเทศแรกที่ประกาศให้มีการกักตัวผู้ติด เชื้อฝีดาษลิง 21 วัน หลังจากที่ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อ 4 ราย
นอกจากนี้ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก เผยผู้ติดเชื้อไม่เคยมีประวัติเดินทางไป ประเทศในแถบแอฟริกา (แหล่งกำเนิดโรคฝีดาษลิง) ดังนั้นจึงถือเป็นกรณีผิดปกติในการ ระบาด นอกจากนี้ทางองค์การอนามัยโลกยอมรับว่า การแพร่ระบาดมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก ในอนาคตอันใกล้นี้ แต่ยังถือเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างจากโควิด เพราะอัตราการ เสียชีวิตนั้นถือว่าต่ำมาก
ประเด็นดังกล่าว หากมีการแพร่ระบาดเร็ว ถือเป็นปัจจัยที่รบกวนการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจและตลาดหุ้นในอนาคตได้ ดังนั้นนักลงทุนอาจจะต้องติดตามประเด็นนี้ อย่างใกล้ชิด ในทางกลับกันช่วงสั้นถือเป็น Sentiment เชิงบวกกับหุ้นถุงมือยางทั้ง ในต่างประเทศและในไทย ที่วานนี้ปรับตัวขึ้นเด่น อาทิTopgrove +2.8% Supermax +2.9% และ STGT +3.6% เป็นต้น
รถไฟฟ้าสายสีส้มมาแล้ว....
หลังเฝ้ารอกันมานานเกี่ยวกับการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกช่วงบาง ขุนนนท์-มีนบุรี มูลค่า 1.27 แสนล้านบาท ล่าสุด รฟม.ได้ประกาศเชิญชวนให้เอกชนเข้า ร่วมคัดเลือกเป็นผู้ร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว ในรูปแบบ PPP Net Cost คือเอกชน เป็นผู้รับความเสี่ยงเรื่องการจัดเก็บค่าโดยสารเอง มีกำหนดขายซองเอกสารคัดเลือก เอกชนระหว่างวันที่ 27 พ.ค-10 มิ.ย นี้ ซึ่งเอกชนที่ได้รับคัดเลือกจะเป็นผู้ลงทุนงาน ออกแบบ ก่อสร้างงานโยธา จัดหา ผลิต ติดตั้ง และทดสอบการทำงานของอุปกรณ์งาน ระบบรถไฟฟ้า รวมไปถึงงานให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงตลอดทั้งเส้นทางเป็น ระยะเวลา 30 ปี นับจากวันที่เริ่มให้บริการเดินรถไฟฟ้าโครงการส่วนตะวันออก คาดว่า ขั้นตอนพิจารณาข้อเสนอของเอกชนจะแล้วเสร็จภายในเดือน ส.ค 65 โดยโครงการนี้ น่าจะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่าง BEM ที่มี CK เป็นผู้รับเหมาหลัก และ BTS ที่มี STEC เป็นผู้รับเหมาหลัก ขณะที่ผู้รับเหมารายอื่นๆ รวมถึงผู้รับเหมางานเสาเข็มก็มีโอกาสเข้า มามีส่วนร่วมในฐานะผู้รับเหมาช่วง ประเด็นที่ต้องติดตามคือเรื่องเกณฑ์การคัดเลือกผู้ ชนะประมูลว่าจะนำคะแนนจากซองเทคนิคมาร่วมพิจารณาพร้อมกับซองราคาหรือไม่ เพราะหากใช้เกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้ BEM มีความได้เปรียบ เนื่องจาก BEM เป็นผู้ ให้บริการเดินรถไฟฟ้าใต้ดินเพียงรายเดียวของประเทศไทย เมื่อผสานกับ CK ที่เป็น ผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีประสบการณ์ก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินมากที่สุดของประเทศไทย จึง น่าจะทำคะแนนด้านเทคนิคได้สูง ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อ CK (FV@B 25) และ STEC (FV@B 18) เพราะไม่ว่ากลุ่ม BEM หรือ BTS จะเป็นผู้ชนะประมูล ในแง่ของการก่อสร้าง ก็คงเป็นการแบ่งงานกันระหว่างผู้รับเหมารายใหญ่ เพียงแต่ว่าใครจะเป็นผู้รับเหมาหลัก หรือผู้รับเหมาช่วงเท่านั้น
Fund Flow ยังคอยพยุงตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง
วานนี้ต่างชาติยังซื้อสุทธิหุ้นไทยต่ออีก 2.1 พันล้านบาท พร้อมกับซื้อสทธิสัญญา SET50 Futures 2.58 หมื่นสัญญา หนุนให้ตลอด 6 วันทำการ ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1.1 หมื่น ล้านบาท พร้อมกับซื้อสุทธิสัญญา SET50 Futures ทุกวันรวมกัน 9.3 หมื่นสัญญา
แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาต่อเนื่องเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพยุงให้ตลาดหุ้นไทย ผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นอีกหลายประเทศ สำหรับกลยุทธ์การลงทุนวันนี้แนะนำ หุ้น ที่ราคายังขยับตัวเพิ่มขึ้นได้น้อย เมื่อเทียบกับแนวโน้มผลประกอบการที่ทยอยเพิ่มขึ้น ในช่วงต่อจากนี้ อย่าง BBL, STEC, PLANB เป็น Top pick
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities