ทันทีที่สงครามระหว่างรัสเซียยูเครนอุบัติขึ้น ความสนใจของตลาดลงทุนก็หันไปที่วิธีการปกป้องความเสี่ยง ซึ่งในทีนี้รวมถึงการลงทุนในกองทุน ETF ที่เน้นถือหุ้นของบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะรัสเซียก็ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ชื่อว่าชอบทำสงครามบนโลกไซเบอร์อยู่บ่อยครั้ง ความเชื่อของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทถือว่ามีหลักฐานอ้างอิง เพราะสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนี S&P Kensho Cyber Security Index สามารถมอบผลตอบแทนคืนแก่ผู้ถือครองได้มากกว่า 3.5%
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีประเด็นรัสเซียยูเครนเข้ามาเกี่ยวข้อง นักวิเคราะห์หลายคนก็เชื่อว่าธุรกิจความปลอดภัยในโลกไซเบอร์มีแต่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่ามูลค่าตลาดของวงการนี้มีโอกาสเติบโตขึ้นไปถึง $360,000 ภายในปี 2028 หากเป็นเช่นนั้นจริงเท่ากับว่าอัตราการเติบโตต่อปี (CARG) ของวงการความปลอดภัยทางไซเบอร์มีโอกาสปรับตัวขึ้นอีก 12% จากราคาในปัจจุบัน
โดยปกติแล้ว สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ทำอยู่ทุกวันคือการพัฒนาซอฟต์แวร์ การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้าไปในระบบ แพลตฟอร์ม หรือเครือข่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเช่นคอมพิวเตอร์ มือถือ แอปพลิเคชัน ฯลฯ ในบทความนี้เราจะพาไปดูสามกองทุน ETF ที่ลงทุนกับวงการรักษาความปลอดภัยทางโลกไซเบอร์
1. Global X Cybersecurity ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $29.73
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $23.97 - $35.10
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.31%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.50% ต่อปี
กองทุน ETF ตัวแรกมีชื่อว่า Global X Cybersecurity ETF (NASDAQ:BUG) เป็นกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ ที่ได้รับอานิสงส์จากความต้องการเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนครั้งแรกเดือนตุลาคมปี 2019
BUG ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 32 บริษัท อ้างอิงราคาตามดัชนี Indxx Cybersecurity Index หากแบ่งแยกกลุ่มหุ้นออกเป็นสัดส่วน จะพบว่า BUG ลงทุนมากที่สุดกับหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสำหรับข่าวสารข้อมูล 98.1% ตามมาด้วยกลุ่มโทรคมนาคม 1.6% และอุตสาหกรรม 0.4% ประเทศที่ BUG ลงทุนมากที่สุดคือธุรกิจในสหราชอาณาจักร 13.8% อิสราเอล 12.8% ญี่ปุ่น 5.7% เกาหลีใต้ 0.6% และแคนาดา 0.4%
หุ้น 10 อันดับแรกที่ BUG ถือครองคิดเป็น 58% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $1,020 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังเหล่านั้นได้แก่ Check Point Software (NASDAQ:CHKP), Palo Alto Networks (NASDAQ:PANW), Fortinet (NASDAQ:FTNT), Avast (OTC:AVASF), NortonLifeLock (NASDAQ:NLOK), Zscaler (NASDAQ:ZS) และ Trend Micro (OTC:TMICY)
ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด BUG ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 12% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2021 อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน BUG วิ่งลงมาแล้ว 6.4% นักลงทุนที่สนใจถือครองในระยะยาว สามารถลงทุนกับกองทุนตัวนี้ได้ที่ระดับราคาในปัจจุบันเลย
2. WisdomTree Cybersecurity Fund
- ระดับราคาปัจจุบัน: $22.83
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $20.09 - $30.58
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.50%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.45% ต่อปี
กองทุนตัวถัดมามีชื่อว่า WisdomTree Cybersecurity Fund (NASDAQ:WCBR) เป็นกองทุนที่ลงทุนกับบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั่วโลกเช่นกัน กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2021 อย่างไรก็ตาม WCBR ยังถือว่าเป็นกองทุนขนาดเล็ก เพราะมีสินทรัพย์รวมทั้งหมดอยู่เพียง $35.6 ล้านเหรียญเท่านั้น
ปัจจุบัน WCBR ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 27 ตัว เกือบ 80% ของหุ้นยังเป็นของบริษัทในสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยอิสราเอล สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และแคนาดา หุ้น 10 อันดับแรกของบริษัทคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ทั้งหมด หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Palo Alto Networks, Datadog (NASDAQ:DDOG), Cloudflare (NYSE:NET), Tenable Holdings (NASDAQ:TENB), Rapid7 (NASDAQ:RPD) และ Okta (NASDAQ:OKTA)
ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด WCBR ให้ผลตอบแทนคืนมาแล้วเกือบ 1% อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน WCBR วิ่งลงมาแล้ว 13% นักลงทุนที่สนใจลงทุนกับการเติบโตของวงการความปลอดภัยทางไซเบอร์ ควรทำการบ้านอย่างหนักก่อนตัดสินใจลงทุนกับกองทุนน้องใหม่ตัวนี้
3. ProShares Ultra NASDAQ Cybersecurity
- ระดับราคาปัจจุบัน: $42.88
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $30.12 - $59.11
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.99% ต่อปี
กองทุนสุดท้ายที่เราจะแนะนำในบทความนี้มีชื่อว่า ProShares Ultra NASDAQ Cybersecurity ETF (NASDAQ:UCYB) ลงทุนในอนุพันธ์หุ้นของบริษัทความปลอดภัยทางไซเบอร์ UCYB ประกาศอย่างชัดเจนว่ามีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ถือครองสามารถทำกำไรรายวันกลับคืนมาได้มากกว่าสองเท่า ดังนั้นกองทุนนี้จึงไม่เหมาะกับนักลงทุนสายซื้อและถือยาว หรือนักลงทุนมือใหม่ แต่เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์แล้วเท่านั้น
UCYB เปิดให้เริ่มต้นลงทุนวันแรกในเดือนมกราคมปี 2021 อ้างอิงราคาตามดัชนี NASDAQ CTA Cybersecurity Index มีสินทรัพย์รวมทั้งหมด $6.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ครึ่งหนึ่งของบริษัทที่ UCYB เลือกลงทุนเป็นบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ตามมาด้วยกลุ่มผู้ให้บริการด้านไอที ผู้ให้บริการด้านอุปกรณ์สื่อสาร บริการระดับมืออาชีพ และบริษัทการบิน อวกาศและการป้องกันประเทศ
หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Accenture (NYSE:ACN), Cisco Systems (NASDAQ:CSCO), Palo Alto Networks, CrowdStrike (NASDAQ:CRWD), Cloudflare และ Juniper Networks (NYSE:JNPR)
ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด UCYB ปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งหมด 24.2% แม้ว่าในปี 2022 จะยังทำขาขึ้นได้ไม่เท่ากับระยะเวลา 12 เดือน แต่ก็สามารถวิ่งขึ้นมาได้ 17% แล้ว นักลงทุนระยะสั้นที่สนใจลงทุนกับบริษัทความปลอดภัยทางไซเบอร์ ควรเก็บกองทุนตัวนี้เอาไว้ในการพิจารณา