นอกจากการรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค ที่เกิดขึ้นไปเมื่อวานนี้ ทราบหรือไม่ว่าสัปดาห์นี้ยังถือเป็นสัปดาห์แรกที่เริ่มมีการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 4 ปี 2021 นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารชื่อดังไม่ว่าจะเป็นเจพี มอร์แกน (NYSE:JPM) เวลล์ ฟาร์โก (NYSE:WFC) และซิตี้ กรุ๊ป (NYSE:C) ที่จะเริ่มรายงานผลประกอบการในช่วงเช้าของวันศุกร์นี้ ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด
อ้างอิงข้อมูลจาก FactSet เผยการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ว่าไตรมาสที่ 4 ปี 2021 มีโอกาสได้เห็นกำไรจากดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 21.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แม้การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะสร้างผลกระทบกับหุ้นในหลายอุตสาหกรรม แต่ก็ยังมีลุ้นที่ไตรมาสที่ 4 ปี 2021 จะเป็นการทำสถิติมีกำไรเติบโตเหนือ 20% เป็นไตรมาสที่สี่ติดต่อกันของดัชนีเอสแอนด์พี 500
ในไตรมาสที่ 4 นี้มีหุ้น 9 จาก 11 กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะรายงานผลประกอบการที่มีอัตราการเติบโตแบบปีต่อปี นำโดยหุ้นในกลุ่มพลังงาน วัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรม และเฮลท์แคร์
หมายเหตุ: นักวิเคราะห์คาดว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานจะสามารถรายงานผลกำไรในไตรมาสที่ 4 ได้ $28,100 ล้านเเหรียญสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น $1,000 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
การคาดการณ์ตัวเลขรายได้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ตลาดลงทุนให้ความสำคัญ นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราการเติบโตของยอดขายในปี 2021 จะเพิ่มขึ้น 12.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง อัตราการเติบโตของรายได้แบบปีต่อปี (YoY) จะทำสถิติตัวเลขสูงที่สุดนับตั้งแต่ FactSet เริ่มเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี 2008
สถิติล่าสุดตอนนี้เป็นรองเพียงตัวเลขของสองไตรมาสล่าสุด ที่มีตัวเลขอัตราการเติบโตของรายได้อยู่ที่ 25.3% กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของรายได้ YoY คือพลังงาน วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และภาคอุตสาหกรรม
ในบทความนี้เราจะพาไปดูหุ้นสามกลุ่มที่มีโอกาสทำกำไรเติบโตได้อย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
1. หุ้นกลุ่มพลังงาน: สนับสนุนโดยราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของ EPD: +28,200% YoY
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้: +66.9% YoY
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2021 หุ้นกลุ่มพลังงานคือกลุ่มที่คาดว่าจะสามารถรายงานผลกำไรได้ $28,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น $1,000 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ด้วยราคาน้ำมันดิบ WTI ในไตรมาส 4 ปี 2021 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 81% จากไตรมาส 4 ปี 2020 ทำให้ FactSet วิเคราะห์ว่ามีโอกาสกำไรจากหุ้นพลังงานจะสร้างจุดสูงใหม่ตลอดกาลที่ 69% YoY เมื่อเทียบกับอีก 11 กลุ่มหุ้น
บริษัทผู้ผลิตน้ำมันที่ FactSet เชื่อว่าจะเป็นแม่ทัพในการสร้างสถิตินี้คือบริษัทเอ็กซอน โมบิล (NYSE:XOM) เชฟรอน (NYSE:CVX) และโคโนโคฟิลิป (NYSE:COP) กำไรรวมกันที่คาดว่าทั้งสามบริษัทจะสามารถทำได้คือ $28,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว $16,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
อ้างอิงข้อมูลจากนักวิเคราะห์ใน InvestingPro พวกเขาเชื่อว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานอื่นๆ ก็จะมีการรายงานตัวเลขผลประกอบการและตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่เติบโตมากขึ้นด้วยไม่ว่าจะเป็น (NASDAQ:FANG) Continental Resources (NYSE:CLR) Pioneer Natural Resources (NYSE:PXD) Coterra Energy (NYSE:CTRA) และ Devon Energy (NYSE:DVN)
ที่มา: InvestingPro
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าซื้อกองทุน ETF เราขอแนะนำกองทุน Energy Select Sector SPDR® Fund (NYSE:XLE) เป็นกองทุนที่อ้างอิงราคาตามดัชนีบริษัทพลังงานบนเอสแอนด์พี 500 ในรอบระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด XLE ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 50.3% เทียบกับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ในช่วงเวลาเดียวกันที่ปรับตัวขึ้นมาได้ 24%
หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือตรงได้แก่ EOG Resources (NYSE:EOG) Pioneer Natural Resources (NYSE:PXD) Schlumberger (NYSE:SLB) Marathon Petroleum (NYSE:MPC) Williams Companies (NYSE:WMB) Phillips 66 (NYSE:PSX) และ Kinder Morgan (NYSE:KMI)
2. หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม: สนับสนุนโดยหุ้นในกลุ่มสายการบิน
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของ EPS: +108% YoY
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้: +12.3% YoY
ถึงแม้ว่าหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิดมากที่สุดในปี 2021 แต่ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่าในไตรมาสที่ 4 มีโอกาสที่หุ้นกลุ่มนี้จะสามารถรายงานผลกำไรได้สูงที่สุดเป็นอับดับที่สอง อาจเป็นไปได้ที่เราจะได้เห็นตัวเลข EPS ในไตรมาสที่ 4 ของหุ้นอุตสาหกรรมเติบโตขึ้นมาถึง 108%
ที่จริงแล้ว 11 จาก 12 กลุ่มหุ้นคาดว่าจะมีกำไร YoY เพิ่มขึ้น โดยที่กลุ่มอุตสาหกรรมการบิน และสายการบินมีโอกาสที่ EPS จะเติบโตขึ้น 380% และ 78% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว อัตราการเติบโตของรายได้ YoY ในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 12.3%
หุ้นสามตัวที่ควรค่าแก่การจับตามองมากที่สุดคือหุ้นของสายการบินเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ (NYSE:LUV) และหุ้นของสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ (DAL) นักวิเคราะห์คาดว่าหุ้นของเซาท์เวสต์จะรายงานตัวเลขกำไรต่อหุ้น (EPS) ได้ $1.29 ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจาก $0.04 ในปีที่แล้ว ในขณะที่เดลตาจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 123% จาก $3,970 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น $8,850 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับนักวิเคราะห์จาก InvestingPro พวกเขาเชื่อว่า United Parcel Service (NYSE:UPS), Raytheon Technologies (NYSE:RTX), Caterpillar (NYSE:CAT) และ Boeing (NYSE:BA) จะเป็นบริษัทที่รายงานผลกำไรในไตรมาสที่ 4 ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ที่มา: InvestingPro
กองทุน ETF สำหรับหุ้นกลุ่มนี้มีชื่อว่า Industrial Select Sector SPDR® Fund (NYSE:XLI) เป็นกองทุนที่อ้างอิงราคาตามดัชนีมูลค่าตลาดบนเอสแอนด์พี 500 ในรอบระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด XLI ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 18.2% หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Union Pacific (NYSE:UNP), UPS, Honeywell International (NASDAQ:HON), Raytheon, Boeing, Caterpillar, General Electric (NYSE:GE), 3M (NYSE:MMM), Deere (NYSE:DE) และ Lockheed Martin (NYSE:LMT)
3. หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง: สนับสนุนโดยหุ้นในกลุ่มแร่โลหะและเหมืองแร่
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของ EPS: +60.9% YoY
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้: +24.6% YoY
กลุ่มสุดท้ายคือหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่าตัวเลขการปันผลกำไรของหุ้นกลุ่มนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบ 61% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน หุ้นกลุ่มนี้ได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวตัวขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทแร่โลหะไม่ว่าจะเป็นทองแดง เหล็ก นิกเกิล แพลตตินัม พาลาเดียมและทองคำ
FactSet คาดว่ากำไรของบริษัทในกลุ่มนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้่นเกือบ 25% โดยที่อัตราการเติบโตในไตรมาสที่ 4 ของหุ้นบริษัทแร่โลหะและเหมืองจะมีกำไรและรายได้เติบโต 132% และ 56% ตามลำดับ หุ้นที่คาดว่าจะมีการเติบโตของรายได้ YoY มากที่สุดคือ Nucor (NYSE:NUE) ด้วยตัวเลข EPS และรายได้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 956% และ 81.7% ตามลำดับ
สำหรับนักวิเคราะห์จาก InvestingPro พวกเขาเชื่อว่า Freeport-McMoRan (NYSE:FCX), Dow (NYSE:DOW) และ LyondellBasell Industries (NYSE:LYB) จะเป็นบริษัทที่รายงานผลกำไรในไตรมาสที่ 4 ได้เพิ่มขึ้นมากที่สุด
ที่มา: InvestingPro
ผู้ที่สนใจในหุ้นกลุ่มก่อสร้าง มีทางเลือกให้ลงทุนกับกองทุน ETF ที่มีชื่อว่า Materials Select Sector SPDR® Fund (NYSE:XLB) เป็นกองทุนที่อ้างอิงราคาจากดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ให้น้ำหนักกับบริษัทเจ้าของเหมืองแร่และโลหะมากที่สุด
ในรอบระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด XLB ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 16.8% หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Linde (NYSE:LIN), Sherwin-Williams (NYSE:SHW), Air Products & Chemicals (NYSE:APD), Ecolab (NYSE:ECL), Freeport-McMoRan, Newmont Mining (NYSE:NEM), Dow, DuPont de Nemours (NYSE:DD), PPG Industries (NYSE:PPG) และ International Flavors & Fragrances (NYSE:IFF)