ปี 2022 ประเดิมห้าวันแรกของสัปดาห์ด้วยการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญของหุ้นเทคฯ และหุ้นกลุ่มเติบโต เพราะการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ สาเหตุที่อัตราผลตอบแทนฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเป็นเพราะตลาดลงทุนคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วที่สุด เพื่อต่อสู้กับปัญหาภาวะเงินเฟ้อ
สัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีแนสแด็กปรับตัวลดลง 4.5% ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงเพียง 0.3% แสดงให้เห็นว่านักลงทุนกำลังโยกเงินจากกลุ่มเทคฯ และเติบโตย้ายไปอยู่ในหุ้นกลุ่มเน้นมูลค่ามากขึ้น เพื่อหวังว่าจะรักษาสภาพคล่องที่มีเอาไว้ก่อน สัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์ของการเริ่มต้นรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ในบทความนี้ เราจึงได้นำหุ้นสามตัวจากสามกลุ่มมาให้คุณผู้อ่านได้พิจารณา
1. Tesla
ขาขึ้นที่หุ้นเทสลา (NASDAQ:TSLA) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทำได้ตั้งแต่วันแรกของการเปิดปีใหม่ ได้หายวับไปกับตา นักลงทุนค่อนข้างเป็นกังวลว่ามูลค่าของหุ้นเทสลาในตอนนี้อยู่สูงมากเกินไป และจะต้องร่วงลงมาแน่นอนเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริงๆ
ขาขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่แล้วเกิดมาจากรายงานตัวเลขยอดการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าในไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ทั่วโลก รายงานดังกล่าวระบุว่าเทสลาสามารถส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าให้กับลูกค้าในไตรมาสที่ 4 ได้ 308,600 คัน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ 263,000 คัน ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าตัวเลขการส่งมอบฯ ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งเคยอยู่ที่ 241,300 คัน เทสลาจึงได้ข้อสรุปเมื่อวันศุกร์ที่ 2 มกราคมว่าปี 2021 พวกเขามีตัวเลขส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วทั้งหมด 936,000 คัน เพิ่มขึ้น 87% จากปีก่อนหน้า
ทั้งที่มีตัวเลขการเติบโตของยอดขายที่ดีขึ้นขนาดนี้ แต่การที่หุ้นเทสลากลับไม่สามารถปิดบวกได้เมื่อวันศุกร์สะท้อนให้เห็นว่าตลาดลงทุนกลัวเรื่องการปรับขึ้นเงินเฟ้อ ที่จะมาสกัดกั้นกลุ่มหุ้นเติบโตมากเพียงใด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นเทสลามีราคาปิดอยู่ที่ $1,026.96 ร่วงลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $1,201.07 ในวันที่ 3 มกราคมเกือบ 17%
2. Delta Air
สายการบิรนเดลตา แอร์ไลน์ (NYSE:DAL) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ในวันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าไตรมาสนี้เดลตา แอร์ไลน์จะสามารถทำกำไรได้ $8,860 ล้านเหรียญสหรัฐ มีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.13
ก่อนที่โควิดสายพันธุ์โอมิครอนจะระบาด นักลงทุนเคยหวังว่าหุ้นกลุ่มสายการบินจะกลับมาได้เพราะความต้องการเดินทางท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกา แต่การระบาดที่เกิดขึ้น และลุกลามได้เร็วกว่าเดิมก็สร้างความท้าทายใหม่ให้กับสายการบินอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความท้าทายนี้เข้ามาในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ ที่สายการบินหวังว่าจะสามารถทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ชดเชยกับการขาดทุนจากโควิดระลอกก่อน
หลายสายการบิน รวมถึงเดลตาแอร์ไลน์ต้องปรับนโยบายสวัสดิการและอัตราค่าจ้างให้กับพนักงานใหม่ เพื่อให้ทั้งสายการบินไปรอด และสามารถเลี้ยงบุคลากรที่สำคัญเอาไว้ได้ ตลอดระยะเวลาสามเดือนล่าสุด หุ้นเดลตา แอร์ไลน์ปรับตัวลดลง 5% มีราคาซื้อขายล่าสุดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $41.51
3. JPMorgan Chase
ธนาคารเพื่อการลงทุนชื่อดังเจพี มอร์แกน (NYSE:JPM) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ในวันศุกร์ที่ 14 มกราคม ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าไตรมาสนี้เจพี มอร์แกนจะสามารถทำกำไรได้ $29,850 ล้านเหรียญสหรัฐ มีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3
ภายใต้ธีมการลงทุนที่ทุกคนเชื่อว่าปี 2022 ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแน่นอน ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารกลายเป้นตัวเลือกที่ใครๆ ก็อยากได้มาใส่ไว้ในพอร์ตลงทุน หุ้นของธนาคารเจพี มอร์แกนก็เป็นหนึ่งในนั้น และเป็นสาเหตุให้สัปดาห์ที่แล้วหุ้นเจพีถึงได้ปรับตัวขึ้นมากกว่า 3% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $167.16
ในรายงานผลประกอบไตรมาสที่ 3 หุ้นเจพี มอร์แกนสร้างสถิติสูงสุดตลอดกาลในแง่ของการใช้เงินลงทุนเพื่อควบรวมกิจการและบริษัท ก่อให้เกิดเป็นกำไรจากค่าธรรมเนียมในการลงทุนมหาศาล จากการควบรวมนั้น ทำให้ตลาดลงทุนคาดหวังว่าไตรมาสนี้จะได้เห็นเจพี มอร์แกนขยายฐานธุรกิจเพื่อทำกำไรในช่วงการแพร่ระบาดที่ยังไม่รู้ว่าจะจบสิ้นลงวันไหน