แม้ว่าตอนนี้นักลงทุนในตลาดกำลังเริ่มเตรียมตัวเข้าสู่การพักผ่อน ปล่อยคำสั่งซื้อขายที่มี และทยอยออกจากตลาดกันแล้ว แต่ความกังวลหลักๆ ในปี 2022 ก็จะยังคงเป็นสถานการณ์การระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ และการวางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่พึ่งประกาศเพิ่มวงเงินลด QE และมีแนวโน้มว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึงสามครั้ง
การระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอมิครอน” ได้ทำให้หลายๆ ประเทศต้องโบกมือลาการเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาลคริสต์มาสกันไปแล้ว เนเธอร์แลนด์ประกาศล็อกดาวน์อย่างเป็นทางการ ในขณะที่สหราชอาณาจักร พยายามจะอะลุ่มอะล่วยให้ได้มากที่สุดโดยคาดว่าจะล็อกดาวน์เป็นบางส่วน สหรัฐอเมริกาก็มียอดผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนมากขึ้นทุกวัน
สถานการณ์ในช่วงสองสัปดาห์ (รวมสัปดาห์นี้) ก่อนปีใหม่ จึงถือเป็นช่วงเวลาที่บีบคั้นนักลงทุนและผู้คนเป็นอย่างมาก ตลาดเฝ้าติดตามดูดัชนีวัดความผันผวนจาก CBOE (VIX) ว่าจะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ หลังจากที่ต้นเดือนธันวาคม VIX เคยวิ่งขึ้นสูงกว่า 30 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมานับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้พวกเขายังเฝ้าดูราคาของกองทุน ETF iPath® Series B S&P 500® VIX Short-Term Futures™ ETN (NYSE:VXX) ซึ่งเป็นกองทุนวัดกำไรรายวันที่ได้มาจากการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สระยะสั้น
1. Fidelity Low Volatility Factor ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $50.83
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $41.22 - $51.91
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.14%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.29% ต่อปี
กองทุนตัวแรกที่เราอยากจะนำเสนอมีชื่อว่า Fidelity® Low Volatility Factor ETF (NYSE:FDLO) เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทเอกชนขนาดกลางไปจนถึงใหญ่ (วัดจากมาร์เก็ตแคป) ในสหรัฐอเมริกา กองทุนนี้เริ่มเปิดให้ลงทุนในเดือนกันยายนปี 2016
ปัจจุบัน FDLO ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 130 บริษัท อ้างอิงราคาซื้อขายจากดัชนี Fidelity US Low Volatility Factor TR USD Index เมื่อพิจารณาการถือหุ้นออกเป็นสัดส่วนแล้วพบว่า FDLO ถือครองหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสำหรับข้อมูลมากที่สุดถึง 27.63% ตามมาด้วยเฮลท์แคร์ 13.07% สินค้าฟุ่มเฟือย 12.12% และการเงิน 11.97%
หุ้น 10 อันดับแรกของบริษัทคิดเป็นเศษหนึ่งส่วนสี่ของสินทรัพย์รวมทั้งหมด $480.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Microsoft (NASDAQ:MSFT), Alphabet (NASDAQ:GOOGL) (NASDAQ:GOOG), Amazon (NASDAQ:AMZN) Accenture (NYSE:ACN) UnitedHealth Group (NYSE:UNH) และ Home Depot (NYSE:HD)
ตลอดระยะเวลา 52 สัปดาห์ล่าสุด FDLO ให้ผลตอบแทนคืนมาแล้ว 19.4% พึ่งสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ไปเมื่อไม่นาน มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 27.22x และ 5.22x ตามลำดับ นักลงทุนที่สนใจกองทุนดังกล่าวควรรอให้ราคาปรับตัวลดลงไปยัง $47.5 จึงจะเป็นจุดเข้าที่เหมาะสม
นอกจาก FDLO ยังมีกองทุนอื่น ที่อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันและมีความน่าสนใจได้แก่
- Invesco S&P 500® High Dividend Low Volatility ETF (NYSE:SPHD);
- Invesco S&P 500® Low Volatility ETF (NYSE:SPLV)
- iShares MSCI USA Min Vol Factor ETF (NYSE:USMV)
- SPDR® SSGA US Large Cap Low Volatility Index ETF (NYSE:LGLV)
2. iShares MSCI Emerging Markets Min Vol Factor ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $61.75
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $59.35 - $65.74
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 2.18%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.25% ต่อปี
กองทุนถัดมาที่เราอยากจะแนะนำเป็นกองทุนที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกา กองทุนนี้มีชื่อว่า iShares MSCI Emerging Markets Min Vol Factor ETF (NYSE:EEMV) นี่คือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นบริษัทในประเทศตลาดเกิดใหม่ เริ่มต้นเปิดให้ลงทุนในเดือนตุลาคมปี 2011
ปัจจุบัน EEMV ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 322 บริษัท อ้างอิงราคาซื้อขายจากดัชนี MSCI Emerging Markets Minimum Volatility Index เมื่อพิจารณาการถือหุ้นออกเป็นสัดส่วนแล้วพบว่า EEMV ถือครองหุ้นในกลุ่มการเงินมากที่สุด 21.52% ตามมาด้วยกลุ่มไอที 16.61% กลุ่มโทรคมนาคม 16.42% และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 10.66% หากพิจารณาเป็นการถือครองหุ้นบริษัทในแต่ละประเทศ จะพบว่า EEMV ถือครองหุ้นของบริษัทในประเทศจีนมากที่สุด 285 แห่ง ตามมาด้วยไตหวัน 17.19% อินเดีย 15.37% ซาอุดิอาระเบีย 8.84% และเกาหลีใต้ 7.73%
หุ้นสิบอันดับแรกที่ EEMV ถือครองคิดเป็นสัดส่วน 15% จากสินทรัพย์รวมทั้งหมด $3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Emirates Telecom (AD:ETISALAT) Taiwan Cooperative Financial Holding (TW:5880) Chunghwa Telecom (NYSE:CHT) Taiwan Semiconductor Manufacturing (NYSE:TSM) และ First Financial Holding (TW:2892)
EEMV ในปีที่แล้วให้ผลตอบแทนคืนมา 2.5% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ไปเมื่อเดือนมิถุนายน มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 19.61x และ 2.26x ตามลำดับ นักลงทุนที่สนใจกองทุนดังกล่าวควรรอให้ราคาปรับตัวลดลงไปวิ่งต่ำกว่า $60 ต่อบาร์เรลจึงจะเป็นจุดเข้าที่ปลอดภัย และเหมาะสมต่อการลงทุนในระยะยาว