การระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เรียกได้ว่าขโมยซีนของสิ่งที่ตลาดสนใจในตอนนี้ไปจนหมด ไม่มีใครพูดถึงความเป็นไปได้ของการประชุม OPEC+ ไม่มีใครพูดถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่จะออกในวันศุกร์นี้ ไม่มีใครสนใจผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนหน้า และไม่มีใครสนใจแล้วว่าการได้เป็นประธานเฟดสมัยที่สองของเจอโรม พาวเวลล์จะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจอย่างไร ตอนนี้มีแต่คนพูดแต่คำว่า “โอไมครอน” อยู่เต็มไปหมด ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบอย่างชัดเจนว่าจะแกร่งกว่าหรืออ่อนกว่าเดลตาอย่างไร
ความกังวลที่ดูเหมือนจะล้นตลาดมากเกินไปทำให้นายราฟาเอล บอสติค ประธานธนาคารกลางแอตแลนตาตัดสินใจออกมาสกัดสภาวะกระต่ายตื่นตูมในตอนนี้ เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์ นิวส์ว่าเมื่อตัวตนของโอไมครอนชัดเจน เศรษฐกิจและธนาคารกลางก็จะดำเนินนโยบายไปตามนั้น จนถึงตอนนี้ราฟาเอลยังเชื่อว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยหนึ่งถึงสองครั้งในปี 2022 เขายังอยู่ฝ่ายสนับสนุนให้มีการปรับลด QE และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ปีนี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่าจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อก่อนที่จะหมดวาระลงในปีถัดไป
ไม่ใช่ FOMC ทุกคนจะเห็นด้วยกับเจอโรม พาวเวลล์
รายงานการประชุมของ FOMC ประจำเดือนพฤศจิกายนที่ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วระบุว่าคณะกรรมการยินดีที่จะดำเนินการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วขึ้นหากอัตราเงินเฟ้อยังไม่ยอมลดความร้อนแรงลง
“ผู้เข้าร่วมการประชุมที่ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนโหวตในปีนี้มีความเห้นว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินควรเตรียมตัวที่จะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในกรณีที่เงินเฟ้อยังคงปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีท่าทีว่าจะลดระดับลงมา การร่นระยะเวลาขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เข้ามาเร็วกว่าที่ผู้เข้าร่วมประชุมคาดการณ์เอาไว้เป็นสิ่งที่ควรกระทำ”
ข้อมูลตัวเลขที่เป็นหนึ่งในสี่มาตรวัดเงินเฟ้อของเฟดยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีการบริโภคส่วนบุคคลแบบปีต่อปีปรับตัวขึ้น 5% ในขณะที่ตัวเลขการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน ที่คำนวณราคาอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 1991 ตัวเลขนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมการประชุมบางคนเป็นกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจในระยะกลาง แต่บางคนก็ให้ความเห็นว่านโยบายการเงินในปัจจุบันจะส่งผลดีในระยะยาวมากกว่า
ในรายงานการประชุมครั้งนี้ยังระบุถึงความเห็นของผู้อยู่ในธนาคารกลางสหรัฐว่ามีความเห็นอย่างไรต่อคำว่า “ปัญหาเงินเฟ้อเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว” บางคนให้ความเห็นว่าตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าเงินเฟ้อเป็นปัญหาที่จะอยู่นานกว่าที่คิด ในขณะที่บางส่วนมองว่าจริงที่เงินเฟ้อาจจะอยู่นานกว่าที่คิด แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเพราะเป็นผลกระทบจากโรคระบาด ที่นำไปสู่ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นปัญหาซัพพลายเชนขาดแคลน ความน่าสนใจก็คือรายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินหลายคนต้องการนโยบายการเงินที่รัดกุม เข้มงวดตามกลไกเศรษฐศาสตร์มากกว่าที่พาวเวลล์เคยกล่าวเอาไว้
คนที่เป็นไฮไลท์ของฝั่งผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างนางแมรี่ ดาลีย์ ประธานธนาคารกลางซาน ฟรานซิสโก ที่กล่าวเมื่อสัปดาห์แล้วว่าสนับสนุนให้มีการร่นระยะเวลาการลด QE เข้ามา ถ้าหากว่าตัวเลขการจ้างงานดีขึ้น หลังจากการประชุมในเดือนพฤศจิกายน เจอโรม พาวเวลล์กล่าวว่าธนาคารกลางจะลดวงเงินการทำ QE ลงทั้งหมด $120,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่ง้ป็น $10,000 - $15,000 ล้านเหรียญในการลดการซื้อพันธบัตร และอีก $5,000 ล้านเหรียญเป็นการลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ค้ำประกัน (MBS)
ด้วยสถานการณ์การระบาดของโอไมครอน และมุมมองของ FOMC ที่มีแนวโน้มสนับสนุนการปรับนโยบายการเงินให้เป็นไปตามกลไกทางเศรษฐศาสตร์มากขึ้น ทำให้ถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ และเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังที่จะมีต่อสภาคองเกรสในคืนนี้น่าจับตาเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะมีความเห็นเป็นเช่นไร
ที่สำคัญ สัปดาห์นี้ยังมีข่าวเศรษฐกิจของอเมริกาให้จับตามอง ไม่ว่าจะเป็นรายงานสรุปภาวะทางเศรษฐกิจจากเฟด รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเอกชนจาก ADP และจากภาครัฐ นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าตัวเลขการจ้างงานฯ (NFP) ของเดือนพฤศจิกายนที่จะประกาศในวันศุกร์นี้จะมีตัวเลขออกมาอยู่ที่ 525,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะปรับตัวลดลง 0.1% มีระดับอยู่ที่ 4.5%