- สัปดาห์ที่ผ่านมา ความกังวลการระบาด COVID สายพันธุ์ใหม่ได้กดดันให้ตลาดกลับมาปิดรับความเสี่ยง
-
ตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งอาจสนับสนุนให้เฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้เร็ว นอกจากนี้ หากตลาดยังคงกังวลปัญหาการระบาดของ COVID สายพันธุ์ “Omicron” บรรยากาศในตลาดการเงินก็อาจยังคงปิดรับความเสี่ยงต่อในช่วงนี้
-
เงินดอลลาร์ อาจเคลื่อนไหว sideways หากตลาดกังวลการระบาดของ COVID-19 ซึ่งจะหนุน Safe Haven อย่างเงินเยนมากกว่าเงินดอลลาร์ ขณะที่เงินดอลลาร์อาจพอมีแรงหนุนหากข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ทั้งนี้ ตลาดจะรอประเมินท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางเงินดอลลาร์ได้ ส่วนเงินบาทอาจผันผวนในฝั่งอ่อนค่าต่อ ตามความกังวลของตลาดต่อปัญหาการระบาดของ Omicron แต่เรามองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมาก เพราะหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นตามภาพตลาดปิดรับความเสี่ยง ก็อาจมีโฟลว์ขายทำกำไรทองคำช่วยพยุงเงินบาท อีกทั้งผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ ทำให้แนวต้านจะอยู่ใกล้ระดับ 33.70-34.00 บาทต่อดอลลาร์
-
มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้
33.35-34.00 บาท/ดอลลาร์ -
ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ คือ รายงานข้อมูลตลาดแรงงาน โดยเฉพาะยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls:NFP) ซึ่งตลาดต่างประเมินว่า หากยอด NFP ขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง อาทิ เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 แสนตำแหน่ง อาจหนุนให้บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่สนับสนุนการเร่งลดคิวอีในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ อย่างไรก็ดี มุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจและนโยบายการเงินอาจเปลี่ยนไปได้ ท่ามกลางความเสี่ยงการระบาด COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ หรือ Omicron ซึ่งตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาทิ ประธานเฟด Powell, William และ Clarida เป็นต้น อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง หนุนโดยการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการผลิตและการบริการในเดือนพฤศจิกายน ชี้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (ISM Mfg. & Services PMIs) ที่ระดับ 61.1 จุด และ 65 จุด ตามลำดับ (ดัชนี >50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว)
-
ฝั่งยุโรป – ตลาดมองว่า ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซนในเดือนตุลาคม อาจโตขึ้น +0.3% ดีขึ้นจากเดือนก่อนที่หดตัว อย่างไรก็ดี สถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ของ COVID ซึ่งเริ่มส่งผลให้บางประเทศกลับมาใช้มาตรการ Lockdown รวมถึงความกังวลต่อแนวโน้มการระบาดของ “Omicron” อาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจยุโรปส่งสัญญาณชะลอตัวลงมากขึ้นในอนาคตได้ ซึ่งโมเมนตัมการฟื้นตัวเศรษฐกิจของยุโรปที่ยังไม่สดใสนักอาจกดดันให้ สินทรัพย์ในฝั่งยุโรป รวมถึง เงินยูโร (EUR) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นหรือแข็งค่าไปได้มากนัก
-
ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่คาดว่าจะได้แรงหนุนจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown โดยตลาดมองว่ายอดค้าปลีกในเดือนตุลาคม จะขยายตัวต่อเนื่องราว +1.2% จากเดือนก่อนหน้า หนุนให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนในฝั่งเกาหลีใต้ โมเมนตัมการขยายตัวของภาคการส่งออกยังคงแข็งแกร่งและช่วยหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดยในเดือนพฤศจิกายน ยอดส่งออก (Exports) จะโตราว 25%y/y อย่างไรก็ดี ในฝั่งของประเทศจีนเศรษฐกิจอาจฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางปัญหาหนี้ของภาคอสังหาฯของจีน รวมถึงปัญหาการระบาดของ COVID ระลอกใหม่ ทำให้ตลาดมองว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีนอาจขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อย สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Official Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน ที่จะลดลงสู่ระดับ 49 จุด และ 51.3 จุด อย่างไรก็ดี เรามองว่า ราคาสินทรัพย์ในฝั่งจีนอาจรับรู้ปัจจัยลบไปมากพอสมควรแล้ว ทำให้ Downside risks อาจเริ่มจำกัด แม้ว่าตลาดการเงินโลกอาจกลับมาอยู่ในโหมดปิดรับความเสี่ยงจากความกังวล Omicron ในระยะสั้น ทำให้จังหวะการปรับฐานหนักของสินทรัพย์จีน อาจเป็นโอกาสในการทยอยเข้าลงทุนได้
-
ฝั่งไทย – เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนผ่านกิจกรรมในภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่จะขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51 จุด เช่นเดียวกับ ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ (Business Sentiment) ที่จะปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ 49 จุด เช่นกัน ชี้ว่าบรรดาผู้ประกอบการมีมุมมองต่อแนวโน้มธุรกิจและเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งมุมมองดังกล่าวจะช่วยหนุนทั้งการลงทุนและการจ้างงานโดยภาคธุรกิจ นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจะช่วยหนุนให้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนพฤศจิกายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.50% อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้อจะไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) เนื่องจาก BOT คงมองเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นจากปัจจัยชั่วคราวและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายยังจำเป็นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก