องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เคยกล่าวถึงความสำคัญของผู้ประกอบการเอาไว้ว่าเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการนำโมเดลธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกสู่ตลาด สร้างการแข่งขันระหว่างบริษัทเอกชน ให้ผู้บริโภคได้สินค้าที่ดีที่สุดไปใช้
ในปัจจุบัน มูลค่าทางเศรษฐกิจจากธุรกิจสตาร์ทอัพทั่วโลกมีมูลค่าเกือบ $4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ ข้อมูลสถิติจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุเอาไว้ว่าภายในช่วงห้าปีแรก มีสตาร์ทอัพที่ไปไม่รอดมากถึง 75% - 90% สาเหตุหลักคือการขาดเงินทุนสนับสนุนที่ยั่งยืน
“อัตราการไปรอดของสตาร์ทอัพแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพและการช่วยเหลือทางสังคม อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการรอดมากที่สุด ในขณะที่การก่อสร้างอยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุด”
ในบทความนี้ เราจะพาไปดูกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนกับสตาร์ทอัพ แต่เพราะสตาร์ทอัพนั้นมักจะเป็นธุรกิจเกิดใหม่ จึงต้องคำนึงเอาไว้ว่ามูลค่าลหักทรัพย์ของกองทุนจึงมักมีขนาดเล็ก และเมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะนำไปหาข้อมูลศึกษาต่อเพิ่มเติม
1. Global X Founder-Run Companies ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $37.18
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $27.64 - $38.00
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.79%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.45% ต่อปี
กองทุนแรกที่เราอยากจะแนะนำคือ Global X Founder-Run Companies ETF (NYSE:BOSS) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในบริษัทขนาดกลางไปจนถึงใหญ่ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า CEO ของบริษัทในปัจจุบันจะต้องเป็นผู้ก่อตั้งเท่านั้น กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2017
ปัจจุบัน BOSS ถือครองหุ้นเอาไว้ทั้งหมด 99 ตัว อ้างอิงราคามาจากดัชนี Solactive US Founder-Run Companies Index สัดส่วนการถือครองหุ้นสามารถแบ่งออกเป็นห้ากลุ่มหลักๆ ได้แก่เทคโนโลยีเพื่อข้อมูลข่าวสาร (33.3%) การเงิน (14.8%) ผู้ให้บริการคมนาคม (12.4%) เฮลท์แคร์ (11.9%) และอสังหาริมทรัพย์ (10.6%)
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 12.5% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $16,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Trade Desk (NASDAQ:TTD) Roblox (NYSE:RBLX); Quantumscape (NYSE:QS) Airbnb (NASDAQ:ABNB) DoorDash (NYSE:DASH) และ NVIDIA (NASDAQ:NVDA)
ภายในช่วงระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด BOSS ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 33.5% แต่หากนับผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันจะพบว่า BOSS ได้ปรับตัวขึ้นมา 24.6% พึ่งจะสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 35.15x และ 4.94x ตามลำดับ หากต้องการเข้าซื้อกองทุนนี้ ควรรอให้ราคาย่อตัวลงมาก่อนที่ $35 จึงจะเป็นจุดเข้าที่เหมาะสม
2. ERShares Non US Small Cap ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $24.18
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $20.59 - $29.44
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.47%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.75% ต่อปี
กองทุน ERShares Non US Small Cap (NYSE:ERSX) เป็นกองทุนที่มีความไฮเทคฯ อยู่พอสมควร นอกจากการลงทุนในสตาร์ทอัพด้วยตัวเอง พวกเขายังใช้ AI ที่อ้างอิงข้อมูลมาจาก Entrepreneur Factor® เข้ามาช่วยหาตัวเลือกที่เหมาะสม ธุรกิจส่วนใหญ่ที่เข้าเงื่อนไขของ ERSX เป็นธุรกิจขนาดเล็ก อยู่ในต่างประเทศที่ไม่ใช่สหรัฐฯ กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2018
ปัจจุบัน ERSX ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 55 ตัว สัดส่วนการถือครองสามารถแบ่งออกเป็นหกกลุ่มหลักๆ ได้แก่ไอที (32.93%) สินค้าฟุ่มเฟือย (19.16%) ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (15.81%) เฮลท์แคร์ (10.35%) อุตสาหกรรม (7.76%) และอสังหาริมทรัพย์ (5.40%)
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 30% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $42,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ SolarEdge Technologies (NASDAQ:SEDG) Fiverr International (NYSE:FVRR) Check Point Software Technologies (NASDAQ:CHKP) Shift (T:3697) และ Afterpay (OTC:AFTPY)
ในปีนี้ ERSX ปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งหมดเกือบ 5% ซึ่งถือว่าน้อยกว่า 17% ของปีที่แล้ว ERSX เคยสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนที่จะปรับตัวลดลง สำหรับนักลงทุนที่สนใจบริษัทหน้าใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในสหรัฐอเมริกา กองทุนนี้อาจเป็นคำตอบสำหรับคุณ