การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่พึ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืนนี้ถือเป็นไฮไลท์สำคัญที่สุดของตลาดลงทุนตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายนเลยก็ว่าได้ หลังจากที่ตลอดทั้งปีเฟดเอาแต่บอกใบ้มาตลอดว่าจะเริ่มทำการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แต่ก็ไม่เคยบอกวันเวลาที่แน่ชัด จนนักลงทุนต้องไปคำนวณกันเองว่าท้ายที่สุดแล้วมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะดำเนินการอย่างไรบ้างในการประชุมเมื่อคืน
ครั้งสุดท้ายที่เฟดเคยทยอยปรับลด QE ต้องย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคมปี 2013 ในช่วงนั้นกลุ่มหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดคือกลุ่มวัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรม และการเงิน เมื่อยกเอาช่วงเวลานั้นมาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ในบทความนี้เราจึงได้นำหุ้นสามตัวจากสามกลุ่มที่คิดว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้นหลังจากการปรับลด QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ มาฝากในบทความนี้
1. Nucor
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: +101.6%
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด: $3,120 ล้านเหรียญสหรัฐ
หุ้นของบริษัทผู้ผลิตเหล็กที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา “Nucor” (NYSE:NUE) คือบริษัทแรกที่เราต้องการจะนำเสนอ ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2021 มูลค่าของหุ้นตัวนี้ก็สามารถปรับตัวขึ้นได้มากกว่าสองเท่า สาเหตุเป็นเพราะความต้องการเหล็กของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อนำมาใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในโครงการของโจ ไบเดน เขาคาดว่าจะลงทุนอีก $550,000 ล้านเหรียญสหรัฐในการอัปเกรดถนน ทางด่วน สะพาน และสนามบิน
ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน หุ้น NUE ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 101.6% มีราคาซื้อขายล่าสุดเมื่อวันอังคารอยู่ที่ $107.22 ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2021 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม บริษัทสามารถสร้างกำไรและรายได้สูงตัวเลขคาดการณ์ได้อย่างง่ายดาย นี่คือสัญญาณที่ดี และเราไม่แปลกใจเลยที่ฝ่ายบริหารจะมีความสุข และหวังว่าแนวโน้มในปัจจุบันและไตรมาสต่อๆ ไปจะคงอยู่เช่นนีต่อไปได้เรื่อยๆ ผู้บริการเชื่อว่าความต้องการเหล็กจะยังแข็งในช่วงปลายปีนี้ และตลอดทั้งปี 2022
หุ้นตัวอื่นที่น่าสนใจ: Vulcan Materials (NYSE:VMC), Martin Marietta Materials (NYSE:MLM), Cleveland-Cliffs (NYSE:CLF)
2. Union Pacific
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: +15.5%
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด: $154,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทที่สองที่เราจะแนะนำคือบริษัทผู้กุมทางรถไฟใหญ่เป็นอันดับที่สองของสหรัฐอเมริกา “Union Pacific” (NYSE:UNP) หุ้นของยูเนียนแปซิฟิกสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาตามความต้องการท่องเที่ยวของชาวอเมริกา ตั้งแต่ต้นปี 2021 จนถึงปัจจุบัน หุ้นยูเนียนแปซิฟิกปรับตัวขึ้นมาแล้ว 15% มีระดับราคาล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ $240.44 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ $243.91
นอกจากให้บริการแก่ผู้โดยสาร ยูเนียนแปซิฟิกให้ความสำคัญกับการขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก อย่างเช่นถ่านหิน เมล็ดข้าว ไม้แปรรูป น้ำมันดิบและเอทานอล นอกจากนี้พวกเขายังให้บริการจนส่งสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์สำหรับการก่อสร้าง อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ปุ๋ย พลาสติก และแร่โลหะ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความต้องการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานของโจ ไบเดนยิ่งทำให้บริษัทได้ประโยชน์มากขึ้น
ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2021 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม บริษัทสามารถสร้างกำไรและรายได้สูงตัวเลขคาดการณ์ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมขนส่งสามารถสร้างกำไรให้กับยูเนียนแปซิฟิกได้เป็นกอบเป็นกำ ยูเนียนแปซิฟิกถือเป็นหน่งในบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องการปันผล ปัจจุบัน UNP มีตัวเลขปันผลรายไตรมาสอยู่ที่ $1.07 ต่อหุ้น คิดเป็น $4.28 ต่อปี ที่เรตอัตราผลตอบแทน 1.77%
หุ้นตัวอื่นที่น่าสนใจ: CSX (NASDAQ:CSX), Rockwell Automation (NYSE:ROK), Old Dominion Freight Line (NASDAQ:ODFL)
3. Bank Of America
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: +58%
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด: $391,800 ล้านเหรียญสหรัฐ
การฟื้นตัวทางเศราฐกิจทำให้ผู้คนหันกลับมาเชื่อมั่น และกล้าลงทุนกับธนาคารพาณิชย์อีกครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แบงก์ออฟอเมริกา (NYSE:BAC) เติบโตได้เป็นอย่างดีในปีนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2021 จนถึงปัจจุบัน หุ้นของแบงก์ออฟอเมริกาได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 58% อันเป็นอานิสงส์ขาขึ้นจากดัชนีหลักอย่างดาวโจนส์และเอสแอนด์พี 500 ปัจจุบันผู้ใช้บริการของแบงก์ออฟอเมริกาคิดเป็น 11% ของชาวอเมริกันผู้มีบัญชีเงินฝากทั้งหมด
นโยบายการเงินของธนาคารกลาง ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงกับธนาคารพาณิชย์อย่างแบงก์ออฟอเมริกา ยิ่งเฟดสามารถปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นได้เร็วเท่าไหร่ นั่นหมายความว่าผู้ฝากเงินก็จะได้รับดอกเบี้ยมากขึ้น การตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้จึงมีความสำคัญกับหุ้นกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก สำหรับแบงก์ออฟอเมริกา การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ผู้คนกล้าลงทุนกับพวกเขามากขึ้น
หากพิจารณาตามตัวเลขมาร์เก็ตแคป จะพบว่าแบงก์ออฟอเมริกาไปรองอยู่เพียงธนาคารเจพี มอร์แกน (NYSE:JPM) เท่านั้น แต่หากเทียบผลงานขาขึ้นของหุ้นแต่ละตัว ต้องยอมรับว่าหุ้น BAC ที่มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $47.88 สามารถสร้างขาขึ้นได้มากกว่าธนาคารพาณิชย์ชื่อดังอื่นๆ อย่างเช่นเจพี มอร์แกน หรือซิตี้กรุ๊ป (NYSE:C) รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ปี 2021 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมก็สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ อันเป็นอานิสงส์มาจากค่าธรรมเนียมและยอดผู้ทำธุรกรรมผ่านธนาคารมากขึ้น
หุ้นตัวอื่นที่น่าสนใจ: Wells Fargo (NYSE:WFC), Capital One Financial (NYSE:COF), First Bancorp (NASDAQ:FBNC)