หากคุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการสร้างกำไรอย่างยั่งยืนให้กับวัยเกษียณอายุของตัวเอง คุณควรมองหาหุ้นที่สามารถถือและสร้างกำไรให้คุณได้ในระยะยาว หนึ่งในวิธีที่จะหาหุ้นที่ช่วยให้คุณสร้างพอร์ตการลงทุนได้ตามสเปคนี้คือการซื้อหุ้นที่มีการเติบโตของเงินปันผล มีประวัติของการเพิ่มเงินปันผลในแต่ละปี บริษัทประเภทนี้มักจะดำเนินธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต และแน่นอนว่าบทความนี้เราจะมาพูดถึงหุ้นสองตัวที่อาจจะเข้าตาคุณสำหรับการปั้นพอร์ตเกษียณอายุ
1. Pfizer
บริษัทผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ชื่อดังไฟเซอร์ (NYSE:PFE) คงไม่ต้องแนะนำตัวกันมากมาย บริษัทนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากการผลิตและขายวัคซีน และยังมีแนวโน้มว่าจะสามารถทำกำไรได้อย่างยั่งยืนจากการผลิตวัคซีนเข็มบูสเตอร์ ที่อาจจะทำให้ผู้คนต้องรับยาต้านโควิดอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งนับจากการฉีดสองเข็มแรก ปัจจัยทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของเงินปันผลได้
ปัจจุบันหุ้นไฟเซอร์ให้เงินปันผลรายไตรมาสอยู่ที่ $0.39 ซึ่งจำนวนเงินปันผลนี้เติบโตขึ้นมาแล้ว 6% ในช่วงห้าปีล่าสุด และมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้เพราะกำไรจากการขายวัคซีนต้านโควิด-19 ที่อาจจะกลายเป็นมาตรฐานสากลของวัคซีนต้านโควิดในสหรัฐฯ และยังมีคิวจากรัฐบาลทั่วโลกที่ต้องการวัคซีนจากไฟเซอร์อย่างต่อเนื่อง
อัลเบิร์ต บัวรา CEO ของบริษัทไฟเซอร์กล่าวว่าวัคซีน mRNA ของพวกเขาสามารถใช้สู่กับโควิดที่กลายพันธุ์แล้วอย่างเช่นเดลตาได้เช่นกัน ดังนั้น รายได้ที่เกิดจากการขายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชากรทั่วโลกจึงมีแนวโน้มจะคงอยู่ต่อไป แม้ว่าการระบาดจะจบลง
ปีนี้บริษัทไฟเซอร์คาดการณ์ว่าจะได้กำไรจากการขายวัคซีนต้านโควิดสูงถึง $33,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาเคยคาดการณ์ไว้ว่าจะได้กำไรในปีนี้ประมาณ $26,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะหลายๆ ประเทศเริ่มอนุญาตให้มีการฉีดวัคซีนเข้มกระตุ้นเพิ่ม และไฟเซอร์ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าปลอดภัยที่จะฉีดให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
ในปัจจุบันความต้องการวัคซีนต้านโควิดจากไฟเซอร์และบริษัทพาร์ทเนอร์สัญชาติเยอรมันไบโอเอ็นเทค (NASDAQ:BNTX) ยังคงมีเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศที่ยังไม่สามารถเอาตัวรอดจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ส่งมอบวัคซีนไปแล้วมากกว่า 1,000 ล้านโดสในช่วงที่มีความต้องการวัคซีนสองเข็มแรก และยังมีสัญญาที่กำลังส่งมอบอีก 2,100 ล้านโดสมาตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ในช่วงสิ้นปีไฟเซอร์ส่งมอบวัคซีนให้กับลูกค้าอีก 3 พันล้านโดส
หากยอดขายเป็นไปตามที่บริษัทไฟเซอร์คาดการณ์ สำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่าวัคซีนตัวนี้จะช่วยส่งบริษัทไฟเซอร์ให้ขึ้นเป็นบริษัทขายยาที่มีกำไรมากที่สุด แซงหน้าบริษัทผู้ผลิตยาอื่นๆ เช่น AbbVie (NYSE:ABBV) Humira และ Merck (NYSE:MRK) ตลอดทั้งปีนี้ หุ้นไฟเซอร์ปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 17% มีเปอร์เซ็นต์การปันผลรายปีอยู่ที่ 3.55%
2. Lowe’s
โลว์ (NYSE:LOW) ร้านค้าปลีกสัญชาติอเมริกัน ผู้จัดจำหน่ายสินค้าสำหรับปรับปรุงบ้านและตกแต่งบ้านคืออีกหนึ่งตัวเลือกที่เราอยากให้นักลงทุนได้พิจารณา ในปีนี้ธุรกิจของโลว์สามารถทำกำไรได้อย่างโดดเด่นจากความต้องการต่อเติมที่อยู่อาศัยให้รองรับสภาพแวดล้อมการทำงานจากที่บ้าน และการลดอัตราดอกเบี้ยช่วยทำให้ชาวอเมริกันสามารถเข้าถึงการซื้อบ้านได้มากขึ้น
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเทรนด์ความต้องการนี้จะคงอยู่ต่อไป ในวันที่ผู้คนตระหนักได้ว่าไม่จำเป็นต้องเข้าไปกระจุกตัวทำงานกันที่เมืองใหญ่อีกแล้ว แต่สามารถทำงานได้จากที่บ้านของตน มหกรรมการย้ายออกจากตัวเมือง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำทำให้หุ้นของบริษัทช่วยปรับปรุงบ้านสามารถปรับตัวขึ้นได้
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทโลว์ได้มีการรายงานผลประกอบการ ซึ่งกำไรที่ได้มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ บริษัทจึงกล้าปรับตัวเลขคาดการณ์ยอดขายเพิ่มขึ้น โลว์คาดการณ์ว่ากำไรรวมตลอดทั้งปี 2021 จะสามารถทำได้ $92,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ $86,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ด้วยกำไรที่เติบโตอย่างมหาศาลเช่นนี้ โลว์จึงได้ตอบแทนผู้ถือหุ้รด้วยการเพิ่มเปอร์เซ็นต์การปันผลขึ้นอย่างมาก ตัวเลขการปันผลรายไตรมาสถูกเพิ่มขึ้น 33% ขึ้นไปเป็น $0.80 ต่อหุ้น เช่นเดียวกันกับการปันผลรายปีที่ถูกเพิ่มขึ้นเป็น 1.52% ด้วยปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่งเช่นนี้โลว์จึงยังมีโอกาสที่จะทำกำไรได้มากขึ้น และเมื่อกำไรเพิ่ม พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้นด้วย
โดยสรุปแล้ว
หากคิดจะปั้นพอร์ตการลงทุนสำหรับเกษียณอายุ การเลือกหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของเงินปันผลถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้ การเพิ่มเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณมีกำไรมากขึ้น คานความเสี่ยงกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความแน่นอน