จากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำให้เราได้เห็นว่าภาวะเงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องชั่วคราวอีกต่อไป มิเช่นนั้นธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับเวลาขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากปี 2024 มาเป็นปี 2022 ทำไม? ฝ่ายสนับสนุนเฟดอาจจะพยายามใช้ข้ออ้างทำนองว่า “ก็เหตุการณ์แบบนี้นั้นอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์” แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมทุกครั้งที่ธนาคารกลางออกมาแถลง จะต้องมีคำว่า “เหนือความคาดหมาย” อยู่ตลอด และจะตบท้ายด้วยคำว่า “อย่างไรก็ตาม” ก่อนที่จะกระชับระยะเวลาให้สั้นลงมาเรื่อยๆ
ในการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 22 กันยายน ผู้มีสิทธิ์วางนโยบายการเงินได้พูดถึงตัวเลขดัชนีการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรวัดเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ พวกเขาบอกว่าตอนนี้เงินเฟ้อกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สังเกตจากตัวเลขดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นจาก 3.4% ในเดือนมิถุนายนขึ้นมาเป็น 4.2% ส่วนตัวเลขการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐานที่ไม่รับรวมราคาอาหารและพลังงานก็ปรับตัวขึ้นจาก 3.0% ในเดือนมิถุนายน ขึ้นมาเป็น 3.7%
นอกจากนี้ FOMC ยังได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ PCE พื้นฐานในปีหน้าว่าจะเติบโตขึ้นเป็น 2.3% เทียบกับตัวเลขคาดการณ์เดิม 2.1% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมิถุนายน FOMC ยอมรับว่าตอนนั้นพวกเขาประเมินโดยไม่ได้คิดว่าปัญหาซัพพลายเชนขาดแคลนจะกินระยะเวลานานขนาดนี้ จึงเป็นไปได้ว่าการประชุม FOMC ในเดือนธันวาคม พวกเขาอาจจะปรับตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในปีหน้าเพิ่มขึ้นอีก
ค่ากลางของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคารของสหรัฐฯ ในปีหน้าก็ได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.1% เป็น 0.3% และจะกลายเป็น 1.0% ภายในปี 2023 ในปีที่แล้ว FOMC เลยประเมินตัวเลขนี้ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.1% ภายในปี 2023
2 Tests To Determine Bond Buying Taper
เมื่อได้เห็นตัวเลขเงินเฟ้อเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เราจะได้เห็นคณะกรรมการนโยบายการเงินเริ่มเก้าอี้ร้อน รีบอยากจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เร็วที่สุด หลังจากที่ตลอดมาพวกเขามักจะประเมินอานุภาพของภาวะเงินเฟ้อต่ำไปเสมอ หลังจากที่การประชุมครั้งนี้จบลง ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม แต่ตลาดก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่เหลือทางเลือกอีกแล้วนอกจากต้องตัดสินใจภายในเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคมนี้
นายเจอโรม พาวเวลล์อ้างว่าสาเหตุที่ธนาคารกลางยังไม่รีบประกาศลดวงเงิน QE ตั้งแต่การประชุมเมื่อสัปดาห์ก่อนเพราะเขาอยากจะได้ตัวเลขการจ้างงานดีๆ อีกสักเดือน สมมุติว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะประกาศลดวงเงิน QE ภายในสองเดือนที่กล่าวมาจริง เท่ากับว่าเราเหลือรายงานตัวเลขการจ้างงานของเดือนนี้ (ที่จะประกาศในวันที่ 8 ตุลาคม) และตัวเลขของเดือนตุลาคมเท่านั้น
“เมื่อตัวเลขทั้งสอง (ตัวเลขการจ้างงานและเงินเฟ้อ) ขึ้นถึงเกณฑ์ที่กำหนด และคณะกรรมการนโยบายการเงินเห็นชอบตรงกันว่าถึงเวลาแล้ว ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะไม่รอช้าที่จะประกาศลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งถัดไปทันที” - เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวหลังจากการประชุม FOMC เมื่อวันพุธจบลง
ท่าทีของประธานเฟดหลายคนเริ่มมีความอยากใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้น นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาคลีฟแลนด์หวังว่าธนาคารกลางจะเริ่มปรับลดวงเงิน QE ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนและจบการลดวงเงิน QE ให้ได้ตั้งแต่ครึ่งปีแรกของ 2022 ในขณะที่เอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาเคนซัส ซิตี้กล่าวว่ายิ่งแต่ละเดือนผ่านไป เหตุผลในการถือครองสินทรัพย์เอาไว้ของพวกเราก็ยิ่งน้อยลง
ประธานเฟดแห่งเคนซัส ซิตี้ยังเปิดประเด็นที่น่าสนใจอีกด้วยว่าคำถามตอนนี้อาจจะต้องเปลี่ยนจากเฟดจะเริ่มปรับลดวงเงิน QE เมื่อไหร่เป็น “เฟดจะเริ่มปรับลดขนาดงบดุลเมื่อไหร่และอย่างไร?” ตอนนี้วงเงินที่ซื้อพันธบัตรหรือสินทรัพย์ทั้งหลายที่ผ่านมามีจำนวนมากถึง $8.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อนึ่ง ประธานเฟดทั้งสองคนนี้เป็นคนที่ต้องการให้พาวเวลล์รีบจบการทำ QE มาโดยตลอด พวกเขาต้องการให้จบเรื่องนี้ให้ได้ภายในกลางปี 2022 และเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่สิ้นปี 2022
สถานการณ์ระหว่างรัฐบาลกับสภาคองเกรสยิ่งทำให้เรื่องการปรับลดวงเงิน QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ มีความยุ่งยากเพิ่มขึ้นไปอีก เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของรัฐบาลโจ ไบเดนได้ออกโรงกดดันสภาคองเกรสว่าหากสภาไม่ยอมระงับการพิจารณาเรื่องนี้ออกไปก่อนหรือปรับเพิ่มเพดานหนี้ให้กับรัฐบาล ในเดือนถัดไปเราจะได้เห็นภาพที่ทำเนียบขาวไม่มีเงินใช้
ในประเด็นนี้นักวิเคราะห์มองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะยื่นมือเข้าช่วยรัฐบาลด้วยการซื้อพันธบัตรที่อาจจะมีค่าเป็นศูนย์ของรัฐบาลเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็หาทางปล่อยขายสินทรัพย์ที่ดูแล้วยังมีโอกาสที่จะไปต่อได้ นักวิเคราะห์มองว่าประเด็นนี้เป็นไปได้่เพราะนายเจอโรม พาวเวลล์และนางเจเน็ต เยลเลนต่างก็เคยเป็นคนในสำนักเดียวกันมาก่อน
แม้จะมีความเป็นไปได้ว่าทั้งสองคนจะช่วยกัน แต่เจอโรม พาวเวลล์ในตอนนี้อาจจะอยู่ในจุดที่ไม่สะดวกใจจะช่วยเหลือรัฐบาลได้อย่างเปิดเผยมากนัก เพราะวาระของการเป็นประธานธนาคารกลางของเขากำลังจะหมดลงภายในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 นี้ และพรรคคู่แข่งก็กำลังพยายามเสนอชื่อคนอื่นขึ้นมาเป็นประธานธนาคารกลางแทน ด้วยการใช้ข้อหาว่าเจอโรม พาวเวลล์คือสาเหตุที่ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องจมอยู่ในภาวะเงินเฟ้อเช่นนี้