สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนอาจจะทำให้นักลงทุนได้ตื่นเต้นตั้งแต่วันเปิดสัปดาห์ เมื่อความสนใจของทุกฝ่ายจะไปอยู่ที่มติการโหวตจากสภาสูงของสหรัฐฯ ว่าจะให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนสามารถเพิ่มเพดานหนี้เพื่อกู้เงินเพิ่มได้หรือไม่ หากมติที่ประชุมออกมาเป็นไม่ เราอาจจะได้เห็นการชัตดาวน์รัฐบาลบางส่วนเกิดขึ้นหลังจากวันที่ 30 กันยายนนี้ ประเด็นดังกล่าวสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และคาดว่าจะเป็นธีมการลงทุนต่อในสัปดาห์นี้
และต่อให้รัฐบาลของโจ ไบเดนจะสามารถเอาตัวรอดจากการชัตดาวน์ไปได้ แต่ตลาดหุ้นก็ยังมีประเด็นให้จับตาต่อ นั่นคือเรื่องของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีน “เอเวอร์แกรนด์” (HK:3333) (OTC:EGRNY) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เอเวอร์แกรนด์พลาดโอกาสในการชำระหนี้อีกครั้ง สร้างความกังวลให้กับตลาดลงทุนว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตทางการเงินรอบใหม่นับตั้งแต่วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ในปี 2008
อย่าคิดว่าตลาดลงทุนจะปล่อยให้ได้หายใจ เพราะวันอังคารจะมีถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรสให้ได้จับตาต่อ ก่อนที่จะปิดท้ายสัปดาห์ด้วยการประกาศตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตของญี่ปุ่น ยูโรโซน แคนาดา และสหรัฐอเมริกา
หากคุณคิดว่าเดือนกันยายนเป็นเดือนที่แย่แล้ว เดือนตุลาคมที่กำลังจะมาถึงนี้อาจจะเป็นเดือนที่เลวร้ายยิ่งกว่า จากประวัตศาสตร์การลงทุนในตลาดหุ้น เดือนตุลาคมมักจะเป็นเดือนที่ตลาดปรับตัวลดลง จนนักลงทุนวอลล์สตรีทขนานนามช่วงเวลานี้ว่า “October Effect” นายแซม สโตฟออล หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดลงทุนแห่ง CFRA ได้นิยามเดือนตุลาคมเอาไว้ว่า “เดือนมหาวิปโยคแห่งตลาดหุ้น” ความผันผวนสูงขึ้น ขาลงที่เห็นจนชินตา นักลงทุนฝั่งตลาดหมีเข้ามายึดครองตลาดจะหลายเป็นเรื่องปกติไปโดยปริยาย
แซมไม่ได้กล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ เขาเห็นพฤติกรรมของตลาดที่เปลี่ยนไปจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยอินดิเคเตอร์ การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาวิ่งต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน แสดงให้เห็นว่านักลงทุนบางส่วนได้เริ่มถอนเงินออกจากตลาดลงทุน จนเกิดเป็นจุดสูงสุดใหม่เรียบร้อยแล้ว
“ข้อมูลจากบริษัทจัดการสินทรัพย์เวลลิงตัน ชิลด์ระบุว่าเหลือหุ้นในตลาดนิวยอร์กอยู่ 59% เท่านั้นที่ยังสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (หรือที่หลายๆ คนเรียกกันว่าแนวโน้มขาขึ้น) สำหรับพวกเขาแล้ว นี่คือสัญญาณของแนวโน้มขาลง โดยปกติแล้วหากตัวเลขเปอร์เซ็นต์นี้ลดลงจาก 80% เป็น 60% สุดท้ายแล้วมักจะลงเอยที่ต่ำกว่า 30%”
ข้อมูลจากเวลลิงตันยังระบุอีกด้วยว่าขาขึ้นที่เราเห็นในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดาวโจนส์และแนสแด็กในตอนนี้คือการแบกตลาดของบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่เท่านั้น ในขณะที่บริษัทขนาดกลางถึงเล็กพากันปรับตัวลงกันหมดแล้ว
เมื่อมาเปิดดูกราฟ เราจึงได้พบว่าสิ่งที่นักวิเคราะห์จากเวลลิงตัน ชิลด์มีความเป็นไปได้อยู่มากพอสมควร จากรูปประกอบรูปนี้จะเห็นว่าที่ผ่านมาดัชนีเอสแอนด์พี 500 สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันได้มาโดยตลอด ขาลงรอบล่าสุดในเดือนนี้เป็นครั้งแรกที่เอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ลงมาแตะเส้นค่าเฉลี่ย 100 วันได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายนปี 2020 แม้ว่าตอนนี้ราคาจะพยายามกลับขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันให้ได้ก็ตาม
คำถามก็คือแนวรับที่เส้นค่าเฉลี่ย 100 วันจะสามารถประคองราคาเอาไว้ได้หรือไม่ ในตอนนี้เราได้มองลงไปถึงแนวรับที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน หรือที่ระดับราคา 4,120 จุดแล้ว นอกจากการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเป็นแนวรับ เรายังใช้เทรนด์ไลน์ในการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของดัชนีด้วย และสิ่งที่พบเจอก็ถือว่ามีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
ตั้งแต่จุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมปี 2020 ขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน เป็นครั้งแรกที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 สามารถวิ่งหลุดเส้นเทรนด์ไลน์ขาขึ้นในรูปลงมาได้ หากเป็นไปตามที่เวลลิงตัน ชิลด์ วิเคราะห์ ในเดือนตุลาคมที่กำลังจะมาถึงนี้จะมีหุ้นของบริษัทในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมากเรื่อยๆ เท่ากับเป็นการยืนยันขาลงที่หลุดออกมาจากแนวรับสำคัญแล้ว
เมื่อพิจารณาจากอินดิเคเตอร์ A/D จะเห็นว่าที่ผ่านมาดัชนีเอสแอนด์พี 500 กับอินดิเคเตอร์วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกันตลอด หรือในภาษานักวิเคราะห์ทางเทคนิคเรียกว่า “ไดเวอร์เจนต์” ในขณะที่กราฟสร้างจุดสูงสุดใหม่สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดสูงสุดใหม่ที่ลดระดับลงมา นอกจากนี้สัญญาณล่าสุดที่เกิดขึ้นใน A/D คือเส้นค่าเฉลี่ยปรับตัวลดลงจนหลุดแนวรับที่ 1.5000 ลงมา และยังไม่สามารถกลับขึ้นยืนเหนือระดับดังกล่าว แสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงต่อ
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประจำสัปดาห์ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EDT)
วันจันทร์
07:45 (ยูโรโซน) ถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางยุโรป
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน: คาดว่าจะลดลงจาก 0.8% เป็น 0.5%
14:00 (สหราชอาณาจักร) ถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางอังกฤษ
21:30 (ออสเตรเลีย) รายงานตัวเลขยอดค้าปลีก: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -3.1% เป็น -2.4%
วันอังคาร
02:00 (เยอรมัน) รายงานตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจาก GFK: คาดว่าจะลดลงจาก -1.2 เป็น -1.8
10:00 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจาก CB: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 113.8 เป็น 114.5
วันพุธ
10:00 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยที่รอการจำนอง: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -1.8% เป็น 1.3%
10:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: ตัวเลขของสัปดาห์ก่อนออกมาอยู่ที่ -3.481Mbbl
11:45 (สหรัฐฯ) ถ้อยแถลงจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ
11:45 (ญี่ปุ่น) ถ้อยแถลงจากประธานธนาคารกลางญี่ปุ่น
21:00 (ประเทศจีน) ดัชนี PMI ภาคการผลิตจากมหาลัยไซซิน: คาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นจาก 49.2 เป็น 49.6
วันพฤหัสบดี
02:00 (สหราชอาณาจักร) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าจะคงที่ 4.8% MoM และ 22.2% YoY
03:55 (เยอรมัน) รายงานตัวเลขอัตราการว่างงาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -53K เป็น -35K
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าจะคงที่ 6.6% QoQ
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก: คาดว่าจะลดลงจาก 351K เป็น 328K
19:50 (ญี่ปุ่น) ดัชนีที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตจาก Tankan: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1 เป็น 3
วันศุกร์
03:55 (เยอรมัน) ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะคงที่ 58.5 จุด
04:30 (สหราชอาณาจักร) ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะคงที่ 56.3 จุด
05:00 (ยูโรโซน) ดัชนีราคาผู้บริโภค: คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.0% เป็น 3.3% YoY
08:30 (แคนาดา) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าจะลดลงจาก 0.7% เป็น -0.2% MoM
10:00 (สหรัฐฯ) ดัชนี PMI ภาคการผลิตจาก ISM: คาดว่าจะปรับตัวลดลงจาก 59.9 จุดเป็น 59.5 จุด