เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเดือนกันยายนจะเป็นเดือนที่หินที่สุดสำหรับตลาดลงทุน ตั้งแต่ต้นเดือนมาจนถึงปัจจุบัน ดัชนีหลักของสหรัฐฯ อย่างดาวโจนส์ เอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก 100 ต่างพากันปรับตัวลงมา 2.5% 2.4% และ 2.1% ตามลำดับ แต่สำหรับนักลงทุนสายซื้อและถือยาว พวกเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องหรือมีส่วนรับรู้เกี่ยวกับการชะลอตัวของตลาดหุ้นในเดือนนี้ เพราะไม่ว่าอย่างไรผลตอบแทนรายปีโดยเฉลี่ยในรอบสิบปีที่ผ่านมาของเอสแอนด์พี 500 ก็เกิน 10% คิดเป็นค่าเฉลี่ยผลตอบแทนที่ได้ในแต่ละปีประมาณ 8%
สมมุติว่านักลงทุนนามสมมุติเออายุ 35 ปี มีเงินอยู่ในบัญชี $10,000 เขาหรือเธอต้องการที่จะเกษียณอายุในวัย 65 ดังนั้นเขาและเธอจึงตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้ว่าจะใช้เงิน $10,000 ไปกับการลงทุนใน ETF ที่ให้ผลตอบแทนรายปีโดยเฉลี่ย $3,600 เมื่อเวลาผ่านไป 30 ปี เขาและเธอคนนั้นได้เงินปันผลรายปีกลับคืนมาปีละ 7% เท่ากับว่าในตอนนั้นนายหรือนางสาวเอจะมีเงินรวมแล้ว $439,985
และถ้าเปอร์เซ็นต์เงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 9% นายหรือนางสาวเอก็จะมีเงิน $667,548 การเก็บเงินให้ได้ปีละ $3,600 หมายถึงการเก็บเงินเดือนละ $300 และหมายถึงการเก็บเงินวันละ $10 ลองคิดดูว่าถ้าสามารถเพิ่มเงินเก็บรายปีขึ้นเป็น $4,800 ที่อัตราผลตอบแทน 7% ได้ นับจากนี้ไปอีก 30 ปี เขาจะมีเงินมากกว่า $561,273
เพื่อให้เป้าหมายสมมุตินี้กลายเป็นความจริงขึ้นมา วันนี้เราจะมาแนะนำกองทุน ETF ที่จะช่วยสานฝันการปันผลตามตัวอย่างนี้ให้เป็นจริงขึ้นมา
1. Vanguard Dividend Appreciation ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $158.41
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $124.14 - $163.25
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.61%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.06% ต่อปี
กองทุนแรกสำหรับนักลงทุนที่ตั้งใจซื้อ ETF และถือยาวไปตลอดชีวิต เราขอแนะนำ Vanguard Dividend Appreciation Index Fund ETF Shares (NYSE:VIG) เป็นกองทุนที่เน้นถือครองหุ้นของธุรกิจที่มีการเติบโตของอัตราเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง กองทุนนี้เริ่มต้นให้เทรดในเดือนเมษายนปี 2006 มีมูลค่าหลักทรัพย์ภายใต้การจัดการมากกว่า $76,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
VIG เป็นกองทุนที่อ้างอิงตาม NASDAQ US Dividend Achievers Select เป็นกองทุนที่มีการจัดการอย่างมีวินัย หุ้นที่ดัชนีดังกล่าวเลือกมาเป็นบริษัทที่มีการเพิ่มเงินปันผลประจำปีขึ้นอย่างสม่ำเสมอมายาวนานอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษ ดังนั้นนอกเหนือจากการเติบโตของอัตราการปันผล VIG จึงควรได้รับความสนใจจากผู้ที่แสวงหารายได้แบบ Passive Income
VIG ถือครองหุ้นของบริษัททั้งหมด 247 บริษัท ซึ่งทุกบริษัทล้วนแล้วแต่อยู่ในสหรัฐอเมริกา เราสามารถแบ่งกลุ่มของหุ้นที่ถือครองออกเป็นสี่กลุ่มหลักๆ ได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรม 21.5% กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 16.6% กลุ่มเฮลท์แคร์ 15.10% และกลุ่มการเงิน 14.20% หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็นเกือบสามส่วนจากสินทรัพย์ที่มีทั้งหมด หุ้นชื่อดังที่ VIG เลือกถือครองได้แก่ Microsoft (NASDAQ:MSFT), JP Morgan Chase (NYSE:JPM), Johnson & Johnson (NYSE:JNJ), Walmart (NYSE:WMT), UnitedHealth (NYSE:UNH), Visa (NYSE:V) และ Home Depot (NYSE:HD)
ในช่วงเวลา 52 สัปดาห์ล่าสุด VIG คืนกำไรให้กับผู้ถือครองไปแล้ว 22.5% และตั้งแต่ต้นปี 2021 จนถึงปัจจุบัน VIG ได้ปันผลคืนไปแล้ว 12.2% สร้างจุดสูงสุดให่ตลอดกาลไปในช่วงต้นเดือนกันยายน หากคิดจะซื้อและถือครองกองทุนนี้ ควรรอให้ราคาปรับตัวลดลงมายัง $155 หรือต่ำกว่านั้นก่อน
2. Schwab US Small-Cap ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $101.86
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $64.94 - $106.13
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.01%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.04% ต่อปี
กองทุนที่สองและเป็นกองทุนสุดท้ายสำหรับบทความนี้คือกองทุน ETF Schwab US Small-Cap (NYSE:SCHA)) ตามชื่อของกองทุนที่ว่ากองทุนนี้เน้นลงทุนเฉพาะหุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดขนาดเล็ก คำว่า “ขนาดเล็ก” ของกองทุนนี้หมายถึงมาร์เก็ตแคปตั้งแต่ $300 - $2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ พูดง่ายๆ ก็คือกองทุนนี้เน้นแต่บริษัทที่คาดว่าจะมีศักยภาพในอนาคต แต่ยังไม่มีชื่อเสียงมากพอ
ปัจจุบัน SCHA ถือครองหุ้นของบริษัททั้งหมด 1,853 บริษัท อ้างอิงราคาจากดัชนี Dow Jones US Small-Cap Total Stock Market Index เริ่มเปิดให้ลงทุนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2009 มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ $17,700 ล้านเหรียญสหรัฐ เราสามารถแบ่งกลุ่มของหุ้นที่ถือครองออกเป็นสี่กลุ่มหลักๆ ได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรม 15.67% กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 15.00% กลุ่มเฮลท์แคร์ 16.58%% และกลุ่มการเงิน 15.52%
หุ้นชื่อดังที่ SCHA เลือกถือครองได้แก่ Cloudflare (NYSE:NET) AMC Entertainment Holdings (NYSE:AMC) Caesars (NASDAQ:CZR) Repligen (NASDAQ:RGEN) และ Floor & Decor Holdings (NYSE:FND)
ปีที่แล้ว SCHA สามารถคืนกำไรให้แก่ผู้ถือครอง 45% และตั้งแต่ต้นปี 2021 จนถึงปัจจุบัน SCHA สามารถคืนกำไรไปแล้วเกือบ 14.5% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน สำหรับผู้ที่ต้องการถือครองหุ้นตัวนี้ ควรรอให้ราคาปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า $100 ก่อน แล้วจึงเข้าไปซื้อและถือครองไปตลอดชีวิต