รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ทำไมทองคำจึงไม่สามารถกลับไปเป็นขาขึ้นได้ทั้งๆ ที่วิกฤตยังไม่จบ

เผยแพร่ 17/09/2564 16:55
อัพเดท 02/09/2563 13:05

หากพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับเศรษฐกิจโลกที่จริงก็คือละครฉากเดิมๆ ที่ฉายซ้ำวนไป....

ในวันที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ดี ดอลลาร์แข็งค่า ทองคำร่วงโรย
ในวันที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ แย่ ดอลลาร์อ่อนค่า ทองคำชะลอตัวหรือไม่ก็ทยอยขึ้น (อย่างยากลำบาก)
ในวันที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ดีไม่แย่ ดอลลาร์ชะลอตัว ทองคำปรับตัวลดลง

ไม่ว่าข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจจะออกมาเป็นแบบไหน ดูเหมือนว่าทองคำก็ไม่เอาอะไรเลยสักอย่าง

แทบจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วในทุกวันนี้ที่ได้เห็นราคาทองคำวิ่งขึ้นลงอยู่ในกรอบสวิงประมาณ $30 - $40 และเมื่อไหร่ก็ตามที่คิดจะฟื้นตัวกลับขึ้นมา ราคาทองคำจะขึ้นมาได้เพียงครึ่งเดียว และก็จะกลับไปเป็นขาลงต่อ น้อยครั้งที่จะได้เห็นทองคำฟื้นตัวขึ้นมาเท่ากันกับที่ลงไป หรือฟื้นตัวมาจนสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ Gold Daily

ที่มา: SK Charting

ที่น่าแปลกใจก็คือตั้งแต่โลกนี้แต่งตั้งให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์สำรองอันดับหนึ่งของโลก หรือตัวคานความเสี่ยงกับดอลลาร์ที่ดีที่สุด ไม่มีครั้งไหนเลยที่เราได้เห็นทองคำซบเซาท่ามกลางช่วงเวลาที่ยังไม่สามารถพูดได้ว่าหลุดออกจากวิกฤตแล้ว ขนาดว่าย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว เราก็พึ่งจะได้เห็นทองคำสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลเหนือ $2,000 ในวันที่ดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลถูกมองว่าไร้ค่า

ถามว่าปัจจัยสนับสนุนให้ทองคำปรับตัวขึ้นเปลี่ยนแปลงไปงั้นหรือ? คำตอบคือไม่ การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจของโลกชะลอตัว นี่คือปัจจัยหนุนของทองคำตัวแรกที่เราทราบกันดี ต่อมาธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ต่อสู่กับวิกฤตโรคระบาดด้วยการอัดฉีดเงินเกือบ $2.2 ล้านล้านเหรียญในการซื้อพันธบัตรและสินทรัพย์อื่นๆ ตลอดระยะเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา นี่ก็เป็นปัจจัยหนุนทองคำให้ปรับตัวขึ้นเป็นอย่างที่สอง ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้เข้ามาผสมโรงช่วยธนาคารกลางอีกด้วยการอัดเงินรวมแล้ว $4.5 ล้านล้านเหรียญ เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจอีก นี่คือปัจจัยหนุนประการที่สาม คำถามก็คือแล้วทำไมสภาพของตลาดทองคำถึงได้เป็นเช่นนี้?

จากจุดสูงสุดตลอดกาลในปี 2020...ตอนนี้ทองคำร่วงลงมาแล้วมากกว่า $300

ถึงแม้ว่าในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์จะมองว่าการอัดฉีดเงินของรัฐบาลและธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเป็นเรื่องที่ทำเกินความจำเป็น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเงินอัดฉีดที่เป็นเหมือนยากระตุ้นนี้ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยติดเตียงกลับมาวิ่งเตะฟุตบอลได้ภายในสองสามวันหลังจากที่รับยาไป นักลงทุนยังเชื่อมั่นในดอลลาร์สหรัฐ และแม้จะรู้ว่าอเมริกายังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากภัยโรคระบาดอยู่ แต่ความเชื่อมั่นที่มีในรัฐบาลก็มากพอที่ทำให้คนเลือกเอาเงินมาถือดอลลาร์เป็นสกุลเงินสำรองปลอดภัย แทนที่จะเอาไปถือทองคำ

เมื่อเศรษฐกิจอเมริกาเริ่มฟื้นตัวได้ ราคาทองคำจึงค่อยๆ ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลในปี 2020 และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง (ที่แม้ว่าจะยังไม่กลับไปเหมือนกับช่วงก่อนโควิด) ก็ทำให้ทองคำร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง หากนับดูดีๆ ตอนนี้ทองคำลงมาจากจุดสูงสุดนั้นมากกว่า $300 เป็นที่เรียบร้อย และอาจจะร่วงลงไปวิ่งต่ำกว่า $1,600 ได้หากยังมีสภาพเป็นเช่นนี้อยู่ หากว่าทองคำลงไปต่ำกว่า $1,600 จริง จะเท่ากับว่าขาขึ้นที่ทำมาในปีที่แล้วกำลังจะกลายเป็นศูนย์

อีกหนึ่งตัวแปรที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเป็นตัวการที่ทำให้ทองคำถูกลืมคือการมาของราชาสกุลเงินดิจิทัลที่มีชื่อว่า...บิทคอยน์

การถือกำเนิดขึ้นของบิทคอยน์ได้เปลี่ยนนิยามของการซื้อขายแลกเปลี่ยนผ่านตัวกลางอย่างเหรียญเงินหรือธนบัตรที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ถึงแม้ว่าบิทคอยน์จะยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่สกุลเงินหลักได้ แต่หลายๆ ประเทศในโลกได้นำเอาแนวคิด และวิธีการทำให้สกุลเงินที่ไม่สามารถจับต้องได้มีมูลค่าขึ้นมาไปปรับใช้ อันที่จริงแล้วทองคำและบิทคอยน์ถูกจัดให้อยู่ในประเภทสินทรัพย์สำรองเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทองคำสู้บิทคอยน์ไม่ได้เลยคือความสามารถในการทำธุรกรรมและการใช้งานที่งานกว่า รวดเร็วกว่า และสะดวกกว่า

ในขณะที่ทองคำสร้างจุดสูงสุดเหนือ $2,000 เมื่อปีที่แล้ว บิทคอยน์ก็ได้สร้างจุดสูงสุดใหม่เหนือ $60,000 เหรียญเช่นกัน แต่การปรับตัวขึ้นจาก $1,650 โดยประมาณไปยัง $2,000 ของทองคำนั้นเทียบอะไรไม่ได้เลยกับการวิ่งขึ้นจาก $4,000 ขึ้นไปยัง $60,000 โดยประมาณของบิทคอยน์ ความแตกต่างของขาขึ้นทั้งสองตลาด ทั้งๆ ที่เป็นสินทรัพย์สำรองเหมือนกันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านักลงทุนในยุคนี้มีความสนใจตลาดสกุลเงินดิจิทัลมากกว่าทองคำ ทั้งๆ ที่สกุลเงินดิจิทัลนั้นพวกเขาไม่เคยจับต้องมันได้เลยสักครั้งไม่ว่าจะเป็นเหรียญอะไรก็ตาม

นอกจากนี้ยังมีการตั้งทฤษฎีสมคบคิดขึ้นมาเกี่ยวกับทองคำด้วย (ในส่วนนี้ควรจะฟังหูไว้หู) มีการตั้งสมมุติฐานขึ้นมาว่าการที่ราคาทองคำเป็นเช่นนี้เป็นความตั้งใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะกดราคาทองคำเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐมีตัวเลขอยู่สูงกว่า 90 จุด วิธีการก็คือธนาคารกลางได้มีคำสั่งลงไปยังธนาคารพาณิชย์ให้รวมหัวกันตุนดอลลาร์แทนที่จะเป็นทองคำ 

อีกหนึ่งทฤษฎีคือธนาคารกลางสหรัฐฯ พยายามเลี้ยงไข้เรื่องภาวะเงินเฟ้อเอาไว้เพื่อรัฐบาลได้ใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พวกเขาก็เพียงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือลดวงเงิน QE เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ถ้าเงินเฟ้อที่เราเห็นทุกวันนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในการควบคุมของเฟดอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถือทองคำไว้เพื่อเก็งความเสี่ยงเลย...หรือไม่งั้นเรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงแค่ความตระหนกของนักลงทุนหัวโบราณในเอสแอนด์พี 500 หรือตลาดหุ้นวอลล์ สตรีทไปเอง

ตลาดลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วย “คนรุ่นใหม่”

Lance Roberts นักวิเคราะห์จากสถานบันการลงทุน RIA ในฮูสตัน วิเคราะห์ประเด็นหนึ่งเอาไว้ได้น่าสนใจ เขาให้ความเห็นว่าสิ่งที่ทำให้ทองคำมีสภาพเป็นเหมือนผู้ป่วยติดเตียงเช่นนี้เป็นเพราะช่วงอายุของนักลงทุนที่มีในตลาดนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป นักลงทุนยุคนี้ยังไม่เคยได้เจอช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นล้มครืนลงมา (ถ้าไม่นับขาลงในเดือนมีนาคมปี 2020) แบบที่ไม่มีธนาคารกลางเข้ามาอุ้ม การที่รัฐบาลและธนาคารกลางยังแจกเงินเหมือนเป็นเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนรุ่นใหม่รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้สูญเสียอะไร เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเงินฟรีจากรัฐบาลอยู่แล้ว

“ในสายตาของคนรุ่นใหม่ สถานภาพของทองคำในตอนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยนอีกต่อไปแล้ว ในทางกลับกันพวกเขาหันไปสนใจเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือสิ่งที่จะทำให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นในเชิงของการทำธุรกรรม เพราะทองคำมีจุดอ่อนในเรื่องของขั้นตอนการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ใช้เวลามากกว่า นานกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่สกุลเงินดิจิทัลเข้ามาปิดจุดอ่อนนี้ของทองคำ และทำให้ทองคำถูกลดบทบาทไปเป็น “มาตรวัดความกลัว” ของตลาดลงทุนอีกตัวหนึ่งเท่านั้น”

Lance ปิดท้ายว่าถึงแม้นักลงทุนยุคก่อนจะไม่สามารถทำใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ แต่โลกก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว และสุดท้ายคนรุ่นก่อนก็ต้องจากโลกนี้ไปก่อนคนรุ่นใหม่ และทิ้งโลกการเงินแบบนี้ไว้ให้พวกคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้เอง ลองผิดลองถูกเอง ซึ่งอาจจะหมายถึงการยอมรับความจริงว่าทองคำกำลังจะถูกลดบทบาทลงอีกในอนาคต

ความเป็นไปได้ของราคาทองคำในอนาคตอันใกล้

ไม่มีใครในตอนนี้ตอบได้ว่าสิ่งที่คนรุ่นก่อนมองหรือคนรุ่นใหม่เชื่อ อะไรจะเป็นความจริงก่อนกัน แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยังต้องอยู่กับปัจจุบันต่อไป คำถามสำคัญก็คือในอนาคตอันใกล้ (อย่างเช่นสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้า) ราคาทองคำจะวิ่งไปทางไหนต่อ?

แน่นอนว่า Investing.com ได้รับเกียรติ์จากคุณ Sunil Kumar Dixit นักวิเคราะห์จาก SK Charting ประเทศอินเดียอีกเช่นเคย สำหรับนักวิเคราะห์ทางเทคนิค ต้องตั้งใจอ่านการวิเคราะห์ต่อไปนี้ให้ดี

“การร่วงลงอย่างรุนแรงของทองคำเมื่อวานนี้ทำให้ราคาได้หลุดแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย EMA 100 สัปดาห์ลงมาด้วย หลังจากราคาทองคำลงมาสร้างจุดต่ำสุดที่ $1,754 ตอนนี้ราคาทองคำสปอตกำลังพยายามฟื้นตัวกลับขึ้นไป จากการวิเคราะห์กราฟ 4 ชั่วโมง อินดิเคเตอร์ RSI ได้ลงไปอยู่ในโซน oversold แล้ว จึงมีโอกาสที่ทองคำจะกลับขึ้นไปทดสอบจุดที่ตัวเองหลุดลงมาที่ $1,775 ณ จุดๆ นี้ถ้าได้แรงหนุนขาขึ้นเข้ามาเสริม มีโอกาสที่เราจะได้เห็นการปรับตัวขึ้นต่อไปยัง $1,795 - $1,805”Gold 4-Hour

“อย่างไรก็ตาม” เขากล่าวต่อ “ถ้าการกลับขึ้นมาครั้งนี้ไม่สามารถขึ้นไปถึง $1,800 ได้ ขาขึ้นครั้งนี้อาจจะทรงตัวอยู่ได้ไม่นาน แต่ตราบใดที่แนวรับ $1,755 ยังรับไหว นักลงทุนก็อย่างพึ่งตกใจ ให้รอดูจุดที่อาจจะเป็นตัวตัดสินว่าราคาทองคำจะเปลี่ยนเทรนด์กลับเป็นขาลงหรือไม่ที่โซนกลับตัว  ”$1,777 - $1,787 - $1,790 - $1,797 จุดเดียวที่ผมจะเชื่อว่าราคาทองคำกลับไปเป็นขาขึ้นแล้วจริงคือการขึ้นยืนเหนือ $1,835 ซึ่งนับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมจนถึงปัจจุบัน ทองคำไม่เคยผ่านแนวต้านนี้ได้เลยสักครั้ง”

ความคิดเห็นล่าสุด

บิตคอยน์ ทำชีวิตเราพัง 3500usa หมดตัวแล้วคับ
บิตคอยน์ ทำชีวิตเราพัง 3500usa หมดตัวแล้วคับ
บิตคอยน์ ทำชีวิตเราพัง 3500usa หมดตัวแล้วคับ
บิตคอยน์ ทำชีวิตเราพัง 3500usa หมดตัวแล้วคับ
บิตคอยน์ ทำชีวิตเราพัง 3500usa หมดตัวแล้วคับ
USA.ำม่สนทองคำ แล้วจะเก็บไว้เองทำไม ตั้ง 5,000 ตันมั๊งง! แน่จริงเอาไปขายเป็น Dollor ให้หมดเลยสิ!🤣
Thank u
Thank you
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย