เชื่อว่านักลงทุนในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ตอนนี้คงจะสามารถเบาใจได้บ้างเมื่อได้เห็นสกุลเงินดิจิทัลในดวงใจของพวกเขาอย่างบิทคอยน์และอีเธอเรียมที่เคยปรับตัวลดลงไปยัง $28,800 และ $1,697.75 สามารถปรับตัวขึ้นกลับมาได้ชั่วคราว แม้จะไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะสามารถขึ้นไปได้อีกไกลแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็สามารถทำให้มูลค่ารวมในตลาดคริปโตกลับมาเกือบถึง $2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอีกครั้ง (วัดตัวเลขครั้งล่าสุดในวันที่ 17 สิงหาคม)
จากข้อมูลของสถาบันการเงินหลายสำนัก มีแนวโน้มว่าตลาดสกุลเงินจะเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงสิ้นปี 2020 มูลค่าตลาดแห่งนี้เคยมีมูลค่าอยู่ที่ $767,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นมาจนเกือบถึง $2 ล้านล้านเหรียญ ห่างจากมูลค่าของบริษัทที่มีมูลค่าตามตลาดสูงที่สุดในโลกอย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ที่มีตัวเลขอยู่ที่ $2.498 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
การเพิ่มขึ้นของมูลค่านี้สะท้อนให้เห็นอะไร มันสะท้อนให้เห็นว่าผู้คนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวสะท้อนถึงความเชื่อในโลกการเงินที่เปลี่ยนไป คนที่เข้ามาสู่โลกคริปโตฯ ส่วนมากเป็นคนที่มีแนวคิดเสรีนิยม พวกเขาเชื่อในอิสรภาพที่เป็นสิทธิของมนุษย์ทุกคน รวมถึงความเชื่อที่ว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนก็เป็นเรื่องส่วนตัว ที่ไม่จำเป็นต้องมีภาครัฐเข้ามาเป็นตัวกลาง
ครั้งหนึ่งโทมัส เจฟเฟอสัน ประธานาธิบดีคนที่สามของสหรัฐอเมริกาเคยกล่าวถึงแนวคิดด้านเสรีภาพเกี่ยวกับโลกการเงินเอาไว้ว่า
“ผมคิดว่าสถาบันการเงินเป็นภัยคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพมากกว่ากองทัพที่มีจำนวนคนนับแสน”
หากโทมัส เจฟเฟอสันยังอยู่ในยุคนี้ เชื่อได้เลยว่าเขาจะต้องเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนโลกคริปโต ฯ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ภาครัฐในยุคปัจจุบันต้องการเลย ท่ามกลางกระแสการยอมรับคริปโตฯ มากขึ้นเรื่อยๆ ภาครัฐก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งนี้คือภัยคุกคาม ภาครัฐในบางประเทศพยายามจำกัดกรอบการใช้งานสกุลเงินดิจิทัล ในขณะที่บางประเทศกลับพยายามไล่ทำลายคริปโตฯ ทุกวิถีทางเท่าที่จะสามารถทำได้
ในขณะที่ประชาชนกำลังเริ่มตื่นตัวเรื่องสิทธิภาพและขอบเขตการมีอิสรภาพของตัวเอง แต่สำหรับภาครัฐพวกเขากำลังกลัวการสูญเสียอำนาจทางการเงิน พวกเขารู้ดีว่าหากสามารถเข้าถึงข้อมูลการเงินของประชาชนของตนเองได้ ก็จะสามารถรู้ได้แทบทุกอย่างว่าบุคคลๆ นั้นประกอบอาชีพอะไร มีกำลังซื้อเท่าไหร่ มีเงินเพิ่มขึ้นหรือลดลงผิดปกติหรือไม่ โดยใช้คำพูดว่า “เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน” แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อมูลการใช้เงินของทุกคน
ส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าในอนาคตซึ่งเป็นวันที่มีการใช้งานสกุลเงินดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินของภาครัฐเองหรือคริปโตเคอเรนซี่ จะต้องเป็นวันที่มนุษยชาติลุกขึ้นมาตั้งคำถามถึงความเป็นส่วนตัวและกรอบเสรีภาพที่ทุกคนควรมี แต่กว่าจะถึงวันนั้น การใช้งานสกุลเงินดิจิทัล การโอบรับเทคโนโลยีบล็อกเชนจะยังมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วจะมีเพียง 0.62% หรือ 70 เหรียญจาก 11,290 เหรียญสกุลเงินดิจิทัลเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้จริง
เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้นี้นักลงทุนในโลกคริปโตฯ จึงได้พยายามมองหาสกุลเงินดิจิทัลใหม่ที่เพื่อเขาเชื่อว่าจะสามารถเป็น “นิวบิทคอยน์” หรือ “นิวอีเธอเรียม” ได้ ไม่ต่างอะไรกับกระแสการตื่นทองในอดีต ที่ใครๆ ต่างก็ไล่หาเหมืองทองคำ แม้กระทั่งสวนหลังบ้านของตัวเองก็ยังยินดีที่ขุดเพราะเชื่อว่ามีเหมืองทองคำซ่อนอยู่ ที่จริงแล้วสถานการณ์ในตอนนั้นกับตอนนี้ไม่ได้แตกต่างกันเลย ที่เปลี่ยนไปคือรูปแบบการหาทองคำเท่านั้น
ตอนนี้แทนที่จะใช้การลงทุนลงแรงด้วยการขุดจริงๆ นักขุดเหมืองคริปโตฯ ได้เปลี่ยนวิธีไปกองทัพคนที่มีคอมพิวเตอร์เป็นคนงานเหมือง ที่ใช้ทรัพยากรพลังงานในการค้นหาบิทคอยน์เพื่อปลดล็อกรหัสคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนและได้ผลตอบแทนเป็นสกุลเงินนั้นๆ วิธีนี้ทำให้คนที่เชื่อว่าสกุลเงินที่พวกเขาขุดออกมาจะหลายเป็นสิ่งที่มีค่าในอนาคต และยินดีที่จะลงทุนจ่ายค่าไฟเพื่อขุดและเก็บเหรียญนั้นๆ เอาไว้
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายที่เชื่อในเสรีนิยมของคริปโตฯ หรือเชื่อในระบบภาครัฐต้องยอมรับเหมือนกันคือคริปโตฯ เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง มูลค่าและการขึ้นลงของราคาขึ้นอยู่กับอุปสงค์อุปทานในระบบของสกุลเงินนั้นๆ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะลงทุนในบิทคอยน์หรือสกุลเงินน้องใหม่ จงลงทุนด้วยเงินที่คุณสามารถยอมเสี่ยงได้ อย่าได้ถึงกับขายทรัพย์สินเพื่อไปลงทุนในคริปโตฯ เด็ดขาด
แล้วคริปโตฯ แบบไหนบ้างที่สามารถถือครองได้อย่างอุ่นใจ? สำหรับผม เกณฑ์การเลือกของผมคือต้องเป็นสกุลเงินที่อยู่ในกลุ่ม 0.67% หรือมีมูลค่าตลาดมากกว่า $1,500 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป สกุลเงินดิจิทัล XinFin (XDC) และ Decentraland (MANA) ที่จะมาแนะนำในวันนี้ถือเป็นหนึ่งใน 0.67% ที่มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยครบถ้วนทุกประการ อยู่ในกลุ่มคริปโตที่มี market cap เกิน $1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการวัดมูลค่านี้เกิดล่าสุดในวันที่ 17 สิงหาคม
สกุลเงินอันดับที่ 66 ของโลกคริปโต: XinFin
XinFin (XDC) เป็นบริษัทผู้สร้างเครือข่าย Hybrid Blockchain ซึ่งขับเคลื่อนโดยโปรโตคอล XDC โปรโตคอล XDC ช่วยให้องค์กรต่างๆในโลกแห่งความเป็นจริงสามารถทำงานร่วมกับระบบนิเวศของสินทรัพย์บล็อกเชน และระบบดิจิทัลที่มีสถาปัตยกรรมเครือข่ายที่รวมคุณลักษณะที่ดีที่สุดของบล็อกเชนสาธารณะ และเครือข่ายส่วนตัว ในวันที่ 19 สิงหาคม เหรียญ XDC ของ XinFin มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $0.1502 บริษัทมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $1,836 ล้านเหรียญสหรัฐ
ที่มา: CoinMarketCap
กราฟในรูปแสดงกรอบราคาการวิ่งของเหรียญ XDC ที่อยู่ระหว่าง $0.1504 - $0.0036 มาตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2018 ล่าสุดราคาสามารถสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ $0.1502
สกุลเงินอันดับที่ 72 ของโลกคริปโต: Decentraland
Decentraland (MANA) เป็นแพลตฟอร์มการกระจายศูนย์ซื้อขายที่ดินเสมือนจริง นับเป็นแพลตฟอร์มแรกที่ผู้ใช้งานสามารถสร้างและเป็นเจ้าของเองได้ Decentraland ทำงานบน Ethereum บล็อกเชน MANA จึงถือว่าเป็นโทเค็น ERC20 ที่ผู้ใช้งานสามารถใช้ในการซื้อที่ดินเสมือน ที่เรียกว่า "LAND" เพื่อนำมาใช้สร้างสิ่งต่างๆ ใน Decentraland ได้ ในทางกลับกันผู้ใช้รายอื่นๆ ที่มาเยี่ยมชมก็สามารถเรียกใช้งานสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนที่ดินนั้นๆ ได้โดยจ่ายค่าธรรมเนียมด้วย MANA ให้แก่เจ้าของที่ดิน
ปัจจุบันสกุลเงินดิจิทัล MANA ครองอันดับอยู่ที่ 72 ของตลาดคริปโตเคอเรนซี่ทั้งหมด มีราคาซื้อขายเหรียญ MANA ในวันที่ 19 สิงหาคมที่ $0.777 และมีมูลค่าตลาดเกือบ $1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ กราฟในรูปแสดงให้เห็นกรอบราคาของเหรียญ MANA ระหว่างจุดต่ำสุด $0.014 - $1.57 เหรียญตัวนี้เริ่มต้นให้ถือครองมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2017
การปรับตัวขึ้นมาของบิทคอยน์ในช่วงนี้ทำให้ตลาดสกุลเงินกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง แม้ว่าบิทคอยน์จะยังไม่สามารถกลับไปยังจุดสูงสุดตลอดกาล แต่การขึ้นมาเพียงเท่านี้ก็ทำให้สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ สามารถปรับตัวขึ้นตามไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่ XDC และ MANA ที่สำคัญ นักลงทุนมือใหม่ที่กำลังตามหาสกุลเงินดิจิทัลทางเลือก จะยิ่งให้ความสนใจกับเหรียญทั้งสองตัวมากขึ้น เพราะเป็นสกุลเงินที่มี market cap มากกว่า $1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าปลอดภัยเป็นอย่างมากสำหรับมือใหม่