ในช่วงระยะหลังๆ เราจะสังเกตได้ว่าหุ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา (NASDAQ:TSLA) ไม่ค่อยเป็นกระแสคึกโครมเหมือนแต่ก่อนสักเท่าไหร่ ตัวหุ้นไม่ค่อยตอบสนองกับข่าวดี ที่แม้จะมีออกมาบ้าง แต่กลับไม่สามารถเรียกความสนใจจากนักลงทุนได้มากเหมือนเดิม สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนระดับสาวกที่เชื่อว่าเทสลาคืออนาคตของวงการยานยนต์ ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือการรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ที่พึ่งจบไป แม้จะสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรได้ แต่ราคาหุ้นกลับปรับตัวลดลงมากกว่า 4%
อันที่จริงข้อมูลตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสนี้ของเทสลาก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดรับไม่ได้ เทสลาสามารถส่งมอบรถยนต์ให้กับลูกค้าในไตรมาสนี้ได้ 201,250 คัน มีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจาก $0.97 เป็น $1.45 ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่า รายได้สุทธิที่ได้ในไตรมาสนี้มีตัวเลขอยู่ที่ $12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เกือบเท่ากับรายได้ในช่วงไตรมาสสี่ของปี 2020
อย่างไรก็ดีข่าวดีนี้กลับไม่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้อย่างมีชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อน แม้จะมีวิ่งขึ้นอยู่บ้าง แต่เฉพาะในรอบห้าวันล่าสุดสามารถวิ่งขึ้นได้น้อยกว่า 6% หากนับจากจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนมกราคมมาจนถึงปัจจุบัน จะพบว่าหุ้นเทสลาได้ปรับตัวลดลงมาแล้วเกือบ 23% คำถามคือเกิดอะไรขึ้นกับหุ้นสุดเซ็กซี่ตัวนี้ทั้งๆ ที่รายงานผลประกอบการก็ไม่ได้ออกมาติดลบ?
ในบทความนี้เราจะพาไปดูเหตุผลหลักๆ สามข้อที่สามารถอธิบายว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับหุ้นเทสลา และทำไม investing.com ถึงมองว่าตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีหากคิดจะเข้าไปถือครองหุ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่จะกลายเป็นกระแสหลักของโลกยานยนต์ในอนาคต
1. ปัญหาชิปประมวลผลขาดแคลน
ปัญหาชิปคอมพิวเตอร์ขาดแคลนทั่วโลกส่งผลกระทบถึงบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ทุกเจ้า ซึ่งเทสลาเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ในการรายงานผลประกอบการ บริษัทเทสลาได้บอกกับนักลงทุนว่าการเติบโตของบริษัทในอนาคตอาจชะลอตัวเพราะปัญหาชิปฯ ขาดแคลน ยกตัวอย่างเช่นเทสลาอาจจะไม่สามารถเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ได้เพราะชิปไม่พอ จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่ได้เห็นรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าที่เทสลาเลื่อนมาแล้วสองปี และในปีนี้ก็อาจจะต้องเลื่อนออกไปอีก
ในตอนแรก รถบรรทุกคันนี้เคยถูกวางแผนเอาไว้ว่าจะเปิดตัวให้ได้ภายในช่วงต้นปี 2021 แต่เพราะปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นทำให้แผนการเปิดตัวต้องถูกเลื่อนออกมาเรื่อยๆ แม้กระทั่งในการรายงานผลประกอบการนายอีลอน มัสก์ CEO ของเทสลาก็ยังไม่ยอมบอกข้อมูลวันเปิดตัวที่แน่ชัด
ปัญหาชิปขาดแคลนจะคงอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่? ตอนนี้พูดได้ยากมากและยังไม่มีใครกล้าฟันธงกรอบเวลาที่แน่ชัด ตลอดทั้งปีบริษัทในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ชิปต่างก็พยายามแก้ปัญหากันสุดความสามารถ บางเจ้าถึงกับลงทุนจะเปิดโรงงานผลิตชิปประมวลผลเป็นของตัวเอง เมื่อมองไปในตลาดทั่วโลกตอนนี้ว่ามีใครที่จะสามารถผลิตชิปฯ ได้บ้าง ส่วนมากก็เป็นบริษัทที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว และมียอดคำสั่งซื้ออยู่เต็มไปหมด ข่าวร้ายก็คือนิตยสาร Wall Street Journal ได้ออกมาวิเคราะห์ว่าปัญหานี้อาจกินเวลานานอีกเป็นปีกว่าจะแก้ไขได้ และทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
2. การแข่งขันที่เพิ่มความดุเดือดมากขึ้นทุกวัน
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าการวางตัวเองเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% และสามารถทำได้จริงทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่แล้วตื่นตัวขึ้น จากเดิมที่เรามักจะเคยได้ยินว่าบริษัทยักษ์ใหญ่มีแผนการที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว แต่สุดท้ายก็มีบริษัทไม่มากที่กล้าผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% แต่การก้าวขึ้นมาของเทสลาทำให้พวกเขามีกรอบเป้าหมายทีชัดเจนมากขึ้น
อ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าตอนนี้มีอย่างน้อย 5 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งได้แก่เดมเลอร์ (OTC:DDAIF) ฟอร์ด (NYSE:F) เจนเนอรัล มอเตอร์ (NYSE:GM) สแดลแลนติส (NYSE:STLA) และฟ็อลคส์วาเกิน (OTC:VWAGY) วางแผนจะลงทุนโดยเฉลี่ย $6,500 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีกับการพยายามสร้างรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า นอกจากคู่แข่งในฝากตะวันตกแล้ว ในฝั่งเอเชียเทสลาก็มีคู่แข่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากประเทศจีนเช่นนีโอ (NYSE:NIO) เสี่ยวเผิง (NYSE:XPEV) และเกรท วอลล์ มอเตอร์ (OTC:GWLLY)
นอกจากนี้ยังมีสื่อหลายสำนักที่รายงานข่าวว่า GM อาจเปิดตัวรถ EV ที่เป็นในรุ่นของฮัมเมอร์และคาดิแลคภายในช่วงสิ้นปีนี้ และมีข่าวว่ารถทั้งสองรุ่นได้เข้าสู่ไลน์การผลิตเรียบร้อยแล้ว และยังมีรถเชฟวี่ ซิลเวอราโดก็กำลังจะตามมาในเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน สำหรับตลาดในประเทศจีน จีเอ็มก็ได้เป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทวู่หลิง ทำรถยนต์ EV ขนาดเล็กออกมา ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศจีน ภายในไตรมาสเดียวก็สามารถขายได้มากกว่าหนึ่งล้านคัน
3. มูลค่าของหุ้นเทสลาอยู่สูงเกินไป
จนถึงทุกวันนี้นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นวอลล์ สตรีทก็ยังคงเถียงกันอย่างไม่จบไม่สิ้นเกี่ยวกับมูลค่าของหุ้นเทสลาว่าอยู่สูงเกินความเป็นจริงมากไปหรือไม่ บางคนถึงกับบอกว่าบริษัทเทสลาดูสมบูรณ์แบบเกินไปจนไม่มีที่ให้กับความล้มเหลวลงมาอยู่กับความเป็นจริงเลย
นักวิเคราะห์จากเจพี มอร์แกนที่ได้ปรับราคาเป้าหมายของหุ้นเทสลาลง $160 เขียนในโน๊ตของบริษัทให้กับลูกค้าว่า
“หุ้นเทสลาในตอนนี้อยู่ในจุดที่เรียกว่าไม่มีพื้นที่สำหรับข่าวร้ายได้เลย และในขณะเดียวกันข่าวดีก็ไม่สามารถพามูลค่าของหุ้นขึ้นต่อไปได้ เนื่องจากนักลงทุนไม่มีกำลังซื้อของในขณะที่ราคาแพงอยู่ ข่าวร้ายเดียวที่เราพอจะเห็นในตอนนี้คือการเลื่อนเวลา่เปิดตัวรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าออกไปจากปี 2021 เป็น 2022 แต่ก็ดูเหมือนว่าตลาดจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับข่าวนี้เท่าไหร่”
ถึงแม้ว่าจะมีแรงขายเกิดขึ้นในหุ้นเทสลาเมื่อไม่นานมานี้ แต่มูลค่าตลาดที่ $680,000 ล้านเหรียญสหรัฐก็ยังถือว่ามากกว่ากว่ามูลค่าบริษัทของจีเอ็ม ฟอร์ด ฟ็อลคส์วาเกินและโตโยต้า (NYSE:TM) รวมกัน นักวิเคราะห์จากเบิร์นสไตน์ที่ตั้งเป้าหมายราคาหุ้นเทสลาลดลง $175 ให้ความเห็นว่า
“การประเมินมูลค่าของหุ้นเทสลานั้นยากมากสำหรับพวกเรา สิ่งที่เราเห็นได้ชัดที่สุดในตอนนี้คือมูลค่าตามตลาดของเทสลานั้นสูงกว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลักๆ รวมกัน ซึ่งส่งผลกระทบวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ และกำไรในอนาคตอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนก็ยังมีมุมมองที่เป็นบวกกับหุ้นเทสลา พวกเขาเชื่อว่าบริษัทเทสลาเป็นมากกว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และราคาหุ้นก็ยังมีโอกาสเติบโตขึ้นได้อีกในอนาคต อดัม โจนาส นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ให้ความเห็นกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า
“อันที่จริงแล้วเทสลาไม่ควรถูกจดจำในฐานะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ เพราะสิ่งที่เทสลาทำ หมายถึงรถยนต์ของเทสลาได้กลายเป็นมากกกว่ารถยนต์ไปแล้ว ในยุคที่รถยนต์สามารถสื่อสารกันเองได้ด้วยอินเตอร์เน็ต ในวันที่รถไร้คนขับของเทสลาเกิดขึ้น รถยนต์จะกลายเป็นคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ดีๆ เครื่องหนึ่งเลย ส่วนตัวแล้วผมไม่อยากเปรียบเทียบเทสลากับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อื่นๆ แต่ควรไปเทียบกับกลุ่มบริษัท SaaS มากกว่า”
เมื่อสอบถามนักวิเคราะห์ของ Investing.com ว่ามีความเห็นกับหุ้นเทสลาในตอนนี้เช่นไร เราพบว่า 15 จาก 35 คนยังเลือกที่จะซื้อและถือหุ้นเทสลาต่อไป 12 คนเลือกกลางๆ ไม่ซื้อไม่ขาย และอีก 8 คนเลือกที่จะขายหุ้นเทสลา ส่วนราคาเป้าหมายเฉลี่ยของหุ้นเทสลาโดยรวมในรอบ 12 เดือนนั้นอยู่ที่ $730.59
ที่มา: Investing.com
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคหลังจากรายงานผลประกอบการ ในระยะสั้นอินดิเคเตอร์ประเภทเส้นค่าเฉลี่ย ออสซิลเลเตอร์ และไพวอตกำลังส่งสัญญาณให้เข้าซื้อ
โดยสรุปแล้ว
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทสลายังคงเป็นผู้นำในด้านของแบรนด์บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แม้จะมีผู้เล่นใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้น แต่หลายๆ เจ้าก็ยังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกสักระยะกว่าจะสามารถแข่งขันกับเทสลาได้จริงๆ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะมีบริษัทไหนได้กินส่วนแต่งรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดบ้าง แต่เราเชื่อว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีเทสลา และสำหรับสหรัฐฯ เทสลาจะกลายเป็นบริษัทผู้ขายรถ EV ที่ใหญ่ที่สุด โดยที่ยังไม่มีคู่แข่งไปอีกนานพอสมควร