ท่ามกลางการปรับตัวขึ้นของดัชนีชื่อดังในสหรัฐอเมริกา สัปดาห์นี้ตลาดลงทุนอเมริกาจะเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2021 ข้อมูลจาก FactSet ประเมินว่าในไตรมาสที่ 2 นี้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ได้ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 7.3% คิดเป็น $45.03 ต่อหุ้น
อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในตอนนี้คือการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่เริ่มสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน และความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจตัดสินใจถอนสภาพคล่องออกจากระบบก่อนกำหนด ในบทความนี้เราได้เลือกหุ้น 3 ตัวที่มาจาก 3 กลุ่มซึ่งจะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้
1. JPMorgan Chase
ธนาคารเพื่อการลงทุนชื่อดังของโลกเจพีมอร์แกน (NYSE:JPM) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2021 ในวันอังคารที่ 13 กรกฎาคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขผลกำไรในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ $29,960 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ $3.16
ก่อนหน้านี้การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ผลกำไรของเจพีมอร์แกนลดลง แต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ พึ่งประกาศยกเลิกข้อกำหนดชั่วคราวที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถซื้อหุ้นคืนรวมถึงข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผล ข่าวดีนี้จะทำให้ธนาคารพาณิชย์เช่นเจพีมอร์แกน โกลด์แมน แซคส์ (NYSE:GS) และธนาคารอื่นๆ สามารถกลับมาทำกำไรเหมือนแต่ก่อนได้
ในปี 2021 หุ้นของเจพี มอร์แกนถือว่าสร้างขาขึ้นได้ดีตลอดทั้งปี ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 22% จนสามารถเอาชนะดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ปรับตัวขึ้นมา 16% ได้ ล่าสุดราคาหุ้นของเจพี มอร์แกนมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $155.77
2. PepsiCo
บริษัทเจ้าของแบรนด์น้ำอัดลมชื่อดังเป๊ปซี่ (NASDAQ:PEP) จะรายงานผลประกอบการในวันและเวลาเดียวกันกับเจพีมอร์แกน นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้บริษัทเป๊ปซี่จะสามารถสร้างกำไรได้ $17,970 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.53
นอกจากเครื่องดื่มเป๊ปซี่แล้ว บริษัทเป๊ปซี่คอร์ปยังเป็นเจ้าของแบรนด์ขนมชื่อดังมากมายในสหรัฐอเมริกาอย่างเช่น Tostitos, Fritos, Ruffles และ Cheetos การล็อกดาวน์เพราะโควิดในปีที่แล้ว ทำให้บริษัทได้กำไรจากสินค้าที่มีอยู่ในมือเป็นจำนวนมากเนื่องจากผู้คนได้ซื้อเครื่องดื่มและขนมเหล่านี้ไปกักตุนในช่วงที่ต้องทำงานอยู่เฉพาะที่พำนักอาศัยของตน
ในเดือนเมษายน เป๊ปซี่คอร์ปเคยคาดการณ์ตัวเลขผลกำไรในปี 2021 ซึ่งทางบริษัทประเมินว่าตลอดทั้งปีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะสามารถขยับขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทยังเคยประเมินด้วยว่าหากสถานการณ์ในไตรมาส 2 ดีขึ้นจนผู้คนสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามเดิม ก็จะทำให้ความต้องการของผู้บริโภคฟื้นตัวและกลับมาจับจ่ายใช้สอยตามปกติ ตลอดสามเดือนล่าสุด ราคาหุ้นของเป๊ปซี่คอร์ปได้ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 5% มีราคาซื้อขายหุ้นล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่แล้วอยู่ที่ $149.48
3. Delta Air Lines
สายการบินเดลตา แอร์ไลน์ (NYSE:DAL) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ในวันพุธที่ 14 กรกฎาคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้เดลตา แอร์ไลน์จะสามารถสร้างกำไรได้ $6,140 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.36
เชื่อว่าทุกคนยังคงจำภาพสายการบินที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด-19 ในปีที่แล้วได้ แต่พอสหรัฐอเมริกามีวัคซีนต้านโควิด สถานการณ์โดยรวมของสายการบินก็เริ่มฟื้นตัว แม้จะยังไม่สามารถกลับไปบินระหว่างประเทศได้ แต่การกลับมาบินภายในประเทศก็ทำให้สายการบินและอาชีพที่เกี่ยวข้องสามารถกลับมาทำงานได้ตามเดิม
เอ็ด บาสเตียน CEO ของสายการบินเดลตา แอร์ไลน์กล่าวว่าตอนนี้สายการบินต้องใช้วิธีเพิ่มเที่ยวบินภายในประเทศมากขึ้นเป็นสองเท่า อย่างไรก็ตามข้อมูลที่ได้รับมาก็ยังพบว่าผู้คนแม้จะเดินทางมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงกับเชื่อใจการเดินทางด้วยเครื่องบืนเหมือนแต่ก่อน ข้อมูลสถิติเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนจะเป็นตัวบอกได้ดีที่สุดว่าความเชื่อมั่นที่มีต่อการท่องเที่ยวของชาวอเมริกันในปีนี้เป็นอย่างไร
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ในระยะเวลา 3 เดือนล่าสุด ราคาหุ้นของสายการบินยังคงปรับตัวลดลง 13% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $42.92 นักวิเคราะห์ประเมินว่าการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาที่กำลังคืบคลานไปสู่อเมริกาอย่างช้าๆ จะกลายมาเป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มสายการบินอีกครั้ง