วันนี้คงจะเป็นวันที่ยุ่งเหยิงสำหรับนักลงทุนฟอเร็กซ์พอสมควรเนื่องจากหลายๆ ประเทศจะมีการประกาศตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ยกตัวอย่างเช่นออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมัน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา นักลงทุนค่อนข้างเชื่อมั่นว่าตัวเลขเหล่านี้จะสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นตลาดสกุลเงินจึงปรับตัวขึ้นตั้งแต่ก่อนรายงานตัวเลข PMI
สกุลเงินที่แข็งค่ามากที่สุดคือดอลลาร์ออสเตรเลียและดอลลาร์นิวซีแลนด์ แม้ว่าตัวเลขในตลาดแรงงานจะออกมาเผยว่ายังมีคนที่ไม่มีงานทำอยู่ในเดือนเมษายนเป็นจำนวนมาก แต่อัตราการว่างงานที่ลดลงและการจ้างงานเต็มเวลาที่นับวันก็ยิ่งมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วยเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ตัวเลขยอดค้าปลีกแบบเดือนต่อเดือนของออสเตรเลียที่พึ่งประกาศออกมาเมื่อเช้านี้พบว่าเพิ่มขึ้น 1.1% เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ 0.5% สะท้อนให้เห็นว่าชาวออสเตรเลียกล้าที่จะจับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกใจที่เราได้เห็นนายสตีเว่น เคนเนดี้ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของออสเตรเลียออกมาพูดอย่างมั่นใจเมื่อวานนี้ว่า “เศรษฐกิจของออสเตรเลียกำลังฟื้นตัวได้เร็วไม่แพ้ประเทศอื่นๆ ที่พัฒนาแล้ว”
เพื่อนบ้านคนสำคัญอย่างสหราชอาณาจักรก็มีแผนที่จะจบมาตรการล็อกดาวน์ทุกอย่างภายในวันที่ 21 มิถุนายนนี้ นั่นจึงทำให้เราเชื่อว่าตัวเลขยอดค้าปลีกและดัชนี PMI ของสหราชอาณาจักรจะสามารถปรับตัวขึ้นตามบรรยากาศข่าวดี เดือนพฤษภาคมที่ใกล้จะผ่านไปแล้วนับได้ว่าเป็นเดือนที่ดีที่สุดของสกุลเงินปอนด์ หากตัวเลขกิจกรรมในภาคธุรกิจและการจับจ่ายใช้สอยยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง กราฟ GBP/USD มีโอกาสขึ้นยืนเหนือระดับราคา 1.42 ได้
ถึงกระนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าเฟดจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยเพราะตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวก็ยังสะท้อนให้เห็นอยู่ว่าการจ้างงานของอเมริกายังไม่ได้ฟื้นตัวได้อย่างที่เฟดต้องการ ดัชนีภาคการผลิตจากเฟดฟิลาเดเฟียในเดือนพฤษภาคมหดตัวจาก 50.2 เหลือ 31.5 จุด ขัดแย้งกับจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่ยังสามารถลดลงอย่างต่อเนื่อง หากพูดถึงเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ไม่มีใครเถียงว่าสหรัฐอเมริกาภายใต้การบริหารของโจ ไบเดนสามารถทำได้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอเมริกานอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว มีภาคส่วนไหนฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญบ้างหลังจากที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว ดังนั้นหากตัวเลข PMI ทั่วโลกในวันนี้เติบโตขึ้น นักลงทุนอาจเลือกเทขายดอลลาร์สหรัฐแล้วนำเงินไปลงทุนกับการฟื้นตัวของประเทศอื่นๆ มากขึ้น